สะสางคำโกหก, รัชกาลที่ 9 ไม่ได้อยู่เบื้องหลังรัฐประหาร พ.ศ. 2500

หนึ่งในประเด็นใหญ่ที่กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตย นำมาโจมตีในหลวงรัชกาลที่ 9 คือ การกล่าวหาว่า พระองค์ทรงอยู่เบื้องหลังและให้การค้ำชู จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ในการรัฐประหารปี พ.ศ. 2500

ซึ่งในความเป็นจริง การรัฐประหารของจอมพล สฤษดิ์ ได้สำเร็จลุล่วงไปก่อนหน้านั้น และได้รับฉันทามติจากมหาชนไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

เหตุใดกลุ่มแนวร่วมปลดแอกจึงมุ่งโจมตีประเด็นนี้ ยุคนั้นพระมหากษัตริย์มีพระราชอำนาจขนาดนั้นเชียวหรือ และการปฏิวัติรัฐประหารปี พ.ศ. 2494 โดย จอมพล ป. พิบูลสงคราม กับรัฐประหารปี พ.ศ. 2500 โดยจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ มีความเกี่ยวพันกันอย่างไร เรามาเคลียร์ประเด็นเหล่านี้กัน

คำกล่าวหาที่บิดเบือน

มีการกล่าวอ้างอย่างเลื่อนลอยว่า ในการปฏิวัติรัฐประหารวันที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2500 ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงมีพระบรมราชโองการให้ประกาศกฎอัยการศึกทั่วราชอาณาจักร โดยไม่ได้ผ่านผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ และมีจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการ

จึงมีผู้นำประเด็นนี้มาโจมตีในหลวงรัชกาลที่ 9 ว่า ทรงใช้อำนาจแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ในการแต่งตั้งจอมพล สฤษดิ์ เป็นผู้รักษาพระนครฝ่ายทหาร (หรือ คณะบริหารประเทศชั่วคราว)

กลายเป็นว่าในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงอยู่เบื้องหลังการรัฐประหารของจอมพล สฤษดิ์ ซึ่งเรื่องเหล่านี้ถูกพูดถึงกันอย่างกว้างขวาง และถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นประเด็นโจมตีรัชกาลที่ 9 หลายต่อหลายครั้ง โดยกลุ่มแนวร่วมปลดแอก รวมไปถึงการกล่าวอ้างวาทกรรม “สืบทอดเจตนารมณ์ คณะราษฎร” อย่างมีนัยยะ

ข้อเท็จจริงที่ถูกต้อง

ประเด็นนี้คงต้องย้อนกลับไปตั้งแต่การรัฐประหารเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2494 โดย จอมพล ป. พิบูลสงคราม ซึ่งนับเป็นการกระทำที่พิลึกพิลั่นที่สุดในโลก

เพราะเป็นการรัฐประหารยึดอำนาจตัวเอง

โดยอ้างว่ารัฐธรรมนูญ ฉบับ 2492 อันเป็นรัฐธรรมนูญที่ใช้อยู่ในขณะนั้น ไม่เอื้อให้เกิดประโยชน์ในการบริหารบ้านเมือง และไม่เหมาะสมกับสถานการณ์คับขันที่ประเทศชาติเผชิญอยู่คือ ภัยคุกคามจากคอมมิวนิสต์และการคอร์รัปชั่น

ดังนั้นคณะรัฐประหารนำโดย จอมพล ป. พิบูลสงคราม จึงได้ทำการยึดอำนาจตัวเองและฉีกรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2492 ทิ้ง พร้อมทั้งประกาศนำ รัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2475 อันเป็นรัฐธรรมนูญฉบับแรกกลับมาใช้

ในการนี้ จอมพล ป. ได้แต่งตั้งตัวเองและคณะปฏิวัติ ขึ้นเป็นรัฏฐาธิปัตย์ มีอำนาจเด็ดขาดสมบูรณ์ แต่ ปราศจากพระปรมาภิไธยของในหลวง

ดังนั้น การรัฐประหารของจอมพล ป. ในปี พ.ศ. 2494 จึงถือเป็นการทำลายระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และเป็นเหตุผลยืนยันได้ว่าในการปฏิวัติรัฐประหาร อำนาจทั้งหมดจะอยู่ที่ “ผู้กระทำการรัฐประหาร” เท่านั้น

กระทั่งมาถึงการรัฐประหารในวันที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2500 โดย จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์

สาเหตุสืบเนื่องมาจากการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่ไม่โปร่งใส ในวันที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2500 ซึ่งพรรคเสรีมนังคศิลา ของจอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้รับเสียงข้างมาก และได้ตั้งรัฐบาล เป็นเหตุให้นักศึกษาและประชาชนจำนวนมาก พากันลุกฮือเดินขบวนต่อต้านการเลือกตั้งอันไม่บริสุทธิ์นี้ และเรียกร้องให้จอมพล ป. พิบูลสงคราม ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี

จวบจนสถานการณ์เริ่มบานปลาย ในที่สุด คืนวันที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2500 จอมพล สฤษดิ์ จึงได้นำกำลังเข้าทำการรัฐประหารรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม และได้ยึดอำนาจการปกครองอย่างเด็ดขาด โดยได้รับฉันทามติจากมหาชน

อนึ่ง การรัฐประหาร พ.ศ. 2500 ปรากฏว่าไม่มีการยกเลิกรัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2495 (ฉบับแก้ไขเพิ่มเติมจากรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2475) แต่อย่างใด ดังนั้นการรัฐประหารครั้งนี้ จึงไม่ถือเป็นการฉีกรัฐธรรมนูญ

ดังนั้น การที่มีประกาศแต่งตั้งจอมพล สฤษดิ์ โดยไม่มีผู้รับสนองพระราชโองการนั้น มองอีกด้านก็คือการ “ย้อนเกล็ด” ในสิ่งจอมพล ป. ได้กระทำไว้นั่นเอง เพราะหลังจากนั้นเป็นต้นมา พระปรมาภิไธย กับ ลายเซ็นผู้ลงนามสนองพระราชโองการ จะอยู่ร่วมกันตลอดจนถึงปัจจุบัน

ในช่วงวันคืนแห่งการรัฐประหารเหล่านี้ เป็นที่น่าตั้งคำถามว่า ในประเทศไทยยามนั้น พระมหากษัตริย์หรือใครเป็นผู้มีอำนาจทางการเมืองที่แท้จริง ?

เราลองมาดูหลักฐาน ซึ่งเป็นเอกสารของสำนักข่าวกรองกลางสหรัฐ หรือ CIA ที่ปัจจุบันเอกสารเหล่านี้ ได้ค่อย ๆ ทยอยหมดสภาพความเป็นเอกสารชั้นความลับไปแล้ว (declassification) โดยเอกสารส่วนหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับประเทศไทยนั้น ได้ฉายภาพให้เห็นถึงมุมมองและทัศนคติของอเมริกา ที่มีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ไทย

ดังเช่น เอกสาร CIA – RDP79R00890A000900010020-5 ซึ่งได้บันทึกสถานการณ์การปฏิวัติของจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัตน์ เมื่อวันที่ 16 กันยายน 2500 เอาไว้

เอกสารดังกล่าวได้ให้รายละเอียดตามสถานการณ์จากการสัมภาษณ์บางบุคคล แต่ก็ได้แสดงความกังวลต่อบทบาทของในหลวงรัชกาลที่ 9 ไว้ในข้อ V. ข้อย่อย C. อย่างน่าสนใจ ว่า

“King and royalists will have to be careful, however, not to provoke the power-and-money-hungry men in whose hands rests the real power in Thailand–the royalists need Sarit much more than Sarit needs them.”

ซึ่งแปลได้ว่า…

“ทั้งพระมหากษัตริย์และรอยัลลิสต์ จำต้องระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง ที่จะไม่ทำให้พวกคนจำพวกกระหายเงินและอำนาจ บังเกิดความไม่พอใจขึ้นได้ ซึ่งคนพวกนี้แหละ คือผู้ที่ถือครองอำนาจที่แท้จริงในเมืองไทย ทั้งนี้ พวกรอยัลลิสต์ต้องหวังพึ่งจอมพลสฤษดิ์ มากกว่าที่จอมพลสฤษดิ์ต้องการพวกเขาเสียอีก”

ดังนั้น ในสายตาของอเมริกา ผู้มีอำนาจที่แท้จริงของไทยในเวลานั้นจึงไม่ใช่ในหลวงรัชกาลที่ 9 หรือกลุ่มเจ้านายแต่อย่างใด แต่กลับเป็นบุคคลอื่นซึ่งในรายงานไม่ได้ระบุชื่อไว้

บุคคลพวกนี้มีอิทธิพลมาก จนแม้แต่พระมหากษัตริย์ ยังต้องทรงระมัดระวังพระองค์ไว้ให้ดี

จากข้อมูลทั้งหมดนี้ หากวิเคราะห์ดูแล้ว จะมองเห็นสาเหตุและร่องรอยที่ชัดเจน ของเส้นทางการปฏิวัติรัฐประหารในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อช่วงหนึ่งของประเทศไทยได้เป็นอย่างดี ใครคือผู้มีอำนาจ เหตุผลของการรัฐประหารคืออะไร เหล่านี้เป็นเรื่องที่ทำความเข้าใจกันได้ไม่ยาก

และสิ่งสำคัญที่สุดคือ ทั้งหมดนี้เป็นเครื่องพิสูจน์ว่า พระมหากษัตริย์มิได้เข้ามาแทรกแซงหรือก้าวก่ายทางการเมือง และไม่เคยอยู่เบื้องหลังรัฐประหาร ครั้งใด ๆ ทั้งสิ้น

ที่มา :

[1] ราชกิจจานุเบกษา 16 กันยายน 2500
[2] สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ แผนชิงชาติไทย (กรุงเทพ : 2534) สำนักพิมพ์ BK
[3] เอกสาร CIA – RDP79R00890A000900010020-5

TOP
y

Emet nisl suscipit adipiscing bibendum. Amet cursus sit amet dictum. Vel risus commodo viverra maecenas.

r

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    คุกกี้ที่มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้งานเว็บไซต์ได้อย่างเป็นปกติ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณ เพื่อให้เราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมและความสนใจของคุณ

บันทึกการตั้งค่า