‘CP ถวายเงินให้ในหลวงใช้’ เรื่องโกหกล่าสุดของ สมศักดิ์ เจียม ที่หลอกสาวกให้ไปติดคุกแทน

สำหรับกรณีการบิดเบือนล่าสุดที่ สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล ได้โพสต์เฟซบุ๊กเมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2565 ว่า “ซีพีถวายเงินวชิราลงกรณ์เป็นระยะๆ เมืองไทยตกอยู่ใต้ซีพี” พร้อมกับภาพการเข้าเฝ้าฯ ทูลเกล้าฯ ถวายเงินโดยเสด็จพระราชกุศล

ซึ่งสมศักดิ์ฯ พยายามจะสื่อว่าทาง CP ทูลเกล้าฯ ถวายเงินเพื่อให้ในหลวงเอาไปใช้ส่วนพระองค์ เป็นการที่นายทุนใหญ่ค้ำยันสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นหนึ่งในเรื่องบิดเบือนที่กลุ่มต่อต้านสถาบันฯ ใช้ในการโจมตีในหลวงมาโดยตลอด

หากสังเกตดูโพสต์ของสมศักดิ์ฯ ระยะหลังๆ มานี้ จะมีอยู่แพตเทิร์นเดียวแบบเดิมๆ คือ โพสต์บิดเบือนแบบสั้นๆ ไม่มีตรรกะ ไม่มีเหตุผล และไม่มีการอธิบายเชิงวิชาการใดๆ ทั้งสิ้น แล้วให้บางคนที่มีใจอคติมางับเอาไปแชร์ต่อ พอมีการเปิดเผยความจริงขึ้นมา คนเหล่านี้ก็เงียบหายกันไปโดยที่ไม่เคยออกมารับผิดชอบในสิ่งที่ตัวเองโพสต์ไว้เลย แล้วก็หาเรื่องใหม่ออกมาบิดเบือนอีก

กรณีเรื่องวังคอมเพล็กซ์ เรื่องพระบรมราชโองการที่ไม่มีคนเซ็นรับสนอง หรือเรื่องอะไรต่อมิอะไรที่ผ่านมาก็เช่นเดียวกัน เรื่องต่างๆ เหล่านี้แสดงให้เห็นถึงความ “มั่ว” ของสมศักดิ์ฯ ได้อย่างดี

และกรณีของการทูลเกล้าฯ ถวายเงินโดยเสด็จพระราชกุศลนั้น ข้อเท็จจริงคือ ในหลวงท่านไม่ได้นำเงินเหล่านี้มาใช้จ่ายส่วนพระองค์เลย แต่เป็นการนำเงินทั้งหมดไปช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อน นำไปสนับสนุนโครงการต่างๆ ซึ่งเป็นการช่วยเสริมการทำงานของภาครัฐในอีกทางหนึ่ง ดังเช่น กรณีที่คณะบุคคลเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท  ถวายพระพรชัยมงคล และทูลเกล้าฯ ถวายเงินเนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 28กรกฎาคม 2563 และเนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระนางเจ้า พระบรมราชินี 3มิถุนายน 2563 ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต เมื่อวันที่ 12 สิงหาคม 2563

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำรัสตอบแก่คณะบุคคลที่เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท มีใจความว่า …

“ก็ขอขอบใจที่ได้มีความรักและภักดีต่อชาติบ้านเมือง และประชาชนของประเทศ เราขอบใจที่ได้สนับสนุน โดยเสด็จพระราชกุศลตามพระราชอัธยาศัย ซึ่งก็ถือว่าเป็นการทำบุญร่วมกันในกลุ่ม ในฐานะที่เป็นคนไทยด้วยกัน ทำบุญร่วมกันคืออะไร คือทุกบาททุกสตางค์ที่ถวาย ก็ได้ร่วมกันนำปัจจัยไปแก้ปัญหา ช่วยเหลือ บำบัดทุกข์ บำรุงสุข หรือเสริมสร้างสิ่งต่างๆ เพื่อความสุขส่วนรวมของประชาชน ซึ่งน่าจะมี หรือน่าจะทำ แก้ไขให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น หรือทำให้ชีวิตและขวัญกำลังใจของประชาชนดีขึ้น อันนี้ก็ถือว่าเป็นแก้วสารพัดนึก ที่จะทำให้ประเทศชาติและประชาชนมั่นคง มีความสุข ขวัญดี ก็ถือว่าท่านได้ร่วม แล้วก็ได้ช่วยเป็นกำลังให้แก่ประเทศชาติและประชาชน อันนี้ ข้าพเจ้ามีความรู้สึกปลื้ม ซาบซึ้ง แล้วก็ได้ใช้ไปเยอะในโครงการต่างๆ ที่ได้ช่วยเหลือประเทศชาติเป็นส่วนรวม ก็ขอขอบคุณ และขอให้บุญกุศลต่างๆ ที่ท่านได้ทำนี้ ทำให้ท่านมีความสุข ความเจริญ และความสบายใจตลอดไป”

จะเห็นได้ว่า เงินเหล่านี้ในหลวงท่านไม่ได้ทรงใช้เป็นการส่วนพระองค์เลยแม้แต่บาทเดียว หากแต่ทรงนำไปใช้ช่วยเหลือ เพื่อบำบัดทุกข์บำรุงสุขให้กับประชาชน ซึ่งในกรณีนี้ ก็คล้ายๆ กับการที่องค์กรหรือหน่วยงานต่างๆ ร่วมบริจาคผ่านมูลนิธิราชประชานุเคราะห์เพื่อช่วยเหลือประชาชนที่ประสบภัย ซึ่งก็เหมือนการ “ร่วมทำบุญโดยมีในหลวงเป็นเจ้าภาพ” เป็นเรื่องของน้ำใจจากทุกภาคส่วน เพื่อช่วยเหลือพี่น้องคนไทยที่กำลังได้รับความเดือดร้อนนั่นเอง

และนี่คือข้อเท็จจริงที่คนใจมืดบอดอย่างสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล ไม่เคยยอมรับ และคอยแต่จะปล่อยข้อมูลเท็จ ที่เป็นการดูหมิ่น หมิ่นประมาท ซึ่งนอกจากจะยิ่งทำให้ภาพลักษณ์ของตัวเองตกต่ำลงไปเรื่อยๆ แล้ว ยังจะพาบรรดาสาวกที่แชร์ข้อมูลเท็จเหล่านี้ไปติดคุกเสียเปล่าๆ เพราะการกดแชร์ ถือเป็นการเผยแพร่ หากการแชร์ข้อมูลนั้นไปกระทบกับบุคคลอื่น อาจเข้าข่ายกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 และที่แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 14 (1) โดยทุจริต หรือโดยหลอกลวง นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอม ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน อันมิใช่การกระทำความผิดฐานหมิ่นประมาทตามประมวลกฎหมายอาญา ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

และแน่นอนว่านอกจากการแชร์แล้ว หากมีการคอมเมนต์ที่เข้าข่ายดูหมิ่น หมิ่นประมาท อาฆาตมาดร้ายต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ เจ้าของคอมเมนต์ก็อาจถูกดำเนินคดีในความผิด มาตรา 112 ด้วยเช่นกัน

ทั้งหมดนี้คือหนึ่ง่ในข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการทูลเกล้าฯ ถวายเงินโดยเสด็จพระราชกุศล ซึ่งสุดท้ายเงินทั้งหมดเหล่านั้นก็ถูกนำไปใช้ในการช่วยเหลือคนไทยที่ได้รับความเดือดร้อนให้พ้นจากความทุกข์ยาก ซึ่งเราทุกคนต่างก็รับรู้ได้จากพระราชกรณียกิจที่ในหลวงทรงปฏิบัติอย่างเงียบๆ เสมอมา โดยให้ “ความจริง” เป็นสิ่งที่พูดแทน