พระราชกรณียกิจของ รัชกาลที่ 9 คือ “Propaganda” เรื่องโกหกของนักวิชาการเลี้ยงแกะ

ในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2496 สภาความมั่นคงสหรัฐฯ ได้อนุมัติให้ใช้แผนสงครามจิตวิทยาในประเทศไทย (U.S. Psychological Strategy based on Thailand) เพื่อต่อต้านการถูกคุกคามจากคอมมิวนิสต์ในภูมิภาคเอเชีย โดยเรียกแผนนี้ว่า PSB-D23

ซึ่งณัฐพล ใจจริง ได้นำชุดเอกสาร PSB-D23 มาใช้อ้างอิงในหนังสือ “ขุนศึก ศักดินา และพญาอินทรี” เพื่อโจมตีพระราชกรณียกิจของในหลวงรัชกาลที่ 9 โดยตรง ทำให้เกิดชุดความคิดที่ว่า พระราชกรณียกิจของพระองค์ เป็นเพียงการร่วมมือกับสหรัฐอเมริกาตามนโยบายการโฆษณาชวนเชื่อเพื่อต่อต้านคอมมิวนิสต์ ไม่ได้ทำเพื่อพสกนิกร หรือที่ใครหลายคนเชื่อกันฝังหัวว่า การทรงงานตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมาของพระองค์คือ “Propaganda”

ซึ่งเป็นความเชื่อที่ “ผิด”

แผนของอเมริกา และการกล่าวหาของ ณัฐพล ใจจริง

ภารกิจสำคัญของสหรัฐอเมริกาคือ ลดทอนโอกาสที่ไทยจะถูกคุกคามจากการคืบคลานเข้ามาของลัทธิคอมมิวนิสต์ โดยการให้ความช่วยเหลือ และขยายปฏิบัติการกองกำลังกึ่งทหาร (Para-military) เพื่อทำให้ไทยกลายเป็น “ป้อมปราการ” ทางฟากฝั่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

แผนการดังกล่าว ยังรวมถึงการให้ความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจระยะยาว ที่มุ่งเน้นไปยังภาคอีสาน เพื่อลดทอนการต่อต้านสหรัฐฯ การใช้โครงการจิตวิทยาทำให้คนไทยมีความผูกพันเป็นหนึ่งเดียว เพื่อให้ความร่วมมือและสนับสนุนในสิ่งที่สหรัฐฯ ต้องการ อีกทั้งกระตุ้นให้ไทยขยายโครงการสงครามกองโจรและกองกำลังกึ่งทหาร ตลอดจนการทำให้ไทยเป็นฐานปฏิบัติการสงครามจิตวิทยาตลอดทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อขยายอิทธิพลของสหรัฐฯ

ในช่วงปี 2496 – 2497 สหรัฐเมริกาส่งทูตวิลเลี่ยม โดโนแวน (William Donovan) อดีต CIA มาประจำที่ประเทศไทย เพื่อดำเนินการตามแผน PSB-D23 และได้มีการเข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 บ่อยครั้งในช่วงระยะเวลาที่อยู่ในตำแหน่งเพียง 1 ปี อีกทั้งมีการร่วมมือในรูปแบบต่าง ๆ ระหว่างไทยกับสหรัฐฯ เกิดขึ้นมากมายในช่วงเวลานั้น เช่น สนธิสัญญาทางการทหาร และการซ้อมรบร่วมกัน

ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 เริ่มดำเนินพระราชกรณียกิจ ออกไปเยี่ยมพบประชาชนในเขตชนบทห่างไกล ที่ประชากรส่วนมากไม่เคยพบหรือแม้กระทั่งรู้จักกษัตริย์มาก่อน

หลังจากนั้น แนวทางชาตินิยมที่มาพร้อมกับการต่อต้านคอมมิวนิสต์ ที่อเมริกาวางไว้ก็ถูกดำเนินมาอย่างต่อเนื่อง เกิดกองกำลังตำรวจตระเวนชายแดน และมีการจัดตั้งกองลูกเสือชาวบ้านขึ้นในปี พ.ศ. 2514

อีกทั้งมีการส่งข้าราชการในวังไปเรียนการทำภาพยนตร์ในต่างประเทศ มีการผลิตภาพยนตร์ “หนักแผ่นดิน” ตลอดจนเกิดข่าวในพระราชสำนักเผยแพร่ทางโทรทัศน์ไปสู่ประชาชนอย่างกว้างขวาง และองค์กรต่าง ๆ ของไทยเองก็ผลิตซ้ำกันต่อมาเป็นเวลานานถึงปัจจุบัน

ทั้งหมดนี้ คือภาพรวมของแผนสงครามจิตวิทยาในประเทศไทย ซึ่ง ณัฐพล ใจจริง ได้นำมาใช้อ้างอิงในหนังสือ “ขุนศึก ศักดินา และพญาอินทรี” โดยกล่าวหาว่า ผลผลิตจากความร่วมมือของสถาบันกษัตริย์ กองทัพ และอเมริกานี้เอง เป็นสาเหตุของวิกฤติทางการเมืองในประเทศไทย ที่เกิดขึ้นต่อมาในภายหลัง

เป็นการด้อยค่าสถาบันหลักของไทย และสร้างภาพลวงให้ผู้คนเข้าใจว่า พระราชกรณียกิจของในหลวงรัชกาลที่ 9 คือการโฆษณาชวนเชื่อหรือ “Propaganda”

หลักฐาน และข้อเท็จจริง

แต่ในความเป็นจริงแล้ว มีหนึ่งในหลักฐานที่โต้แย้งเรื่องนี้อย่างชัดเจนคือ รายงานเอกสาร เมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 1966 ที่รองประธานาธิบดี McConaughy ได้ส่งโทรเลขจาก กรุงการาจี ในปากีสถาน เพื่อรายงานการเข้าเฝ้าในหลวงรัชกาลที่ 9 ให้ประธานาธิบดีทราบ มีเนื้อหาที่ยืนยันได้เป็นอย่างดีว่า “ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงงานเพื่อประชาชนไทยโดยพระองค์เอง และด้วยทุนทรัพย์ส่วนพระองค์” โดยเอกสารมีเนื้อความว่า

“The King was concerned also about the broader question of the fight for men’s minds, pointing out a number of examples of Communist trickery which had taken in the naive and gullible people living in the rural up-country areas principally threatened. I replied that we could meet this type of unconventional warfare if we could organize ourselves properly to meet it, and one of the most important things was to let the people know that their government was really concerned about them and willing to help in a whole variety of ways, besides providing basic security, in such fields as health, education, and assistance to the basic economy. His Majesty agreed completely (I understand he has been doing a lot of this himself out of his own pocket)”

แปลโดยสรุปความได้ว่า…พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงเป็นห่วงพสกนิกร เกี่ยวกับการเสาะแสวงหาคำตอบของชีวิตและการเมืองของคนวัยหนุ่มสาว โดยพระองค์ทรงรู้ว่าคอมมิวนิสต์ใช้จุดอ่อนนี้ในการชักจูงและโน้มน้าวพลเมืองที่ไม่รู้เท่าทันทางความคิด โดยเฉพาะพลเมืองที่อาศัยอยู่ในชนบทห่างไกลความเจริญ ที่กำลังตั้งคำถามถึงความเป็นอยู่ปากท้องและระบอบการปกครองที่พวกเขาอาศัยอยู่

รองประธานาธิบดี McConaughy ยังรายงานต่อไปด้วยว่า การต่อสู้กับคอมมิวนิสต์นั้น จำเป็นต้องทำให้ประชาชนรู้ว่า รัฐบาลมีความหวังดีและตั้งใจในการเข้ามาช่วยเหลือพวกเขา ให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี ผ่านนโยบายต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นด้านสาธารณสุข การศึกษา หรือการพยุงชีวิตความเป็นอยู่

ซึ่งวิธีการเหล่านี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงลงมือทำด้วยพระองค์เอง และโดยพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ด้วย

จะเห็นได้ว่า รายงานเอกสารชิ้นนี้ เป็นหนึ่งในเครื่องพิสูจน์ว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจ เพื่อประโยชน์ของประชาชน มิใช่การร่วมมือกับสหรัฐอเมริกาแต่อย่างใด และสิ่งที่ประจักษ์เป็นรูปธรรมยิ่งกว่านั้นคือ การที่ประชาชนในหลายพื้นที่ของประเทศได้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น คือข้อพิสูจน์ที่ชัดเจนที่สุด ในการทรงงานมาอย่างต่อเนื่องของพระองค์

ดังนั้น การอ้างอิงชุดเอกสาร PSB-D23 ในหนังสือ “ขุนศึก ศักดินา และพญาอินทรี” ของ ณัฐพล ใจจริง เพื่อโจมตีพระราชกรณียกิจของในหลวงรัชกาลที่ 9 และปลูกสร้างชุดความคิดที่ว่า พระองค์ทรงทำตามนโยบายโฆษณาชวนเชื่อของสหรัฐในการต่อต้านคอมมิวนิสต์ ไม่ได้ทำเพื่อพสกนิกร จึงเป็นเรื่อง “โกหก”

อ้างอิง :

[1] FOREIGN RELATIONS OF THE UNITED STATES, 1964–1968, VOLUME XXVII, MAINLAND SOUTHEAST ASIA; REGIONAL AFFAIRS pp.663
[2] “U.S. Psychological Strategy Based on Thailand” (PSB-D23), 14 ,August 1953,” in Foreign Relations of the United States 1952-1954 Vol.12, (Washington : Government Printing Office,1987), pp. 688-691
[3] Reading Group ครั้งที่ 2 : อ่าน “ขุนศึก ศักดินา และพญาอินทรี” ไปกับ “อ่านเปลี่ยนโลก” วันอาทิตย์ที่ 15 พฤศจิกายน 2563