“กฎหมายตราสามดวง” ปฐมบท Rule of Law แห่งกรุงรัตนโกสินทร์

หลังจาก พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ปราบดาภิเษกขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์แห่งกรุงรัตนโกสินทร์แล้ว พระองค์ทรงริเริ่มพระราชกรณีกิจมากมายหลายด้าน ที่มุ่งเน้นความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับไพร่ฟ้าประชาชน กล่าวคือ ทรงให้ความสำคัญเรื่องความอยู่เย็นเป็นสุขของประชาชน มากกว่าความงดงามของวัดวาอาราม พระราชวังและป้อมปราการ ซึ่งเป็นคุณธรรมแห่งพระมหากษัตริย์ในยุคแห่งการก่อตั้งราชธานีใหม่ จากหลักฐานที่ปรากฎในกฎหมายตราสามดวงว่า

“รักพระสาศนาอนาประชาราษฎร ยิ่งกว่าพัศดุเงินทองร้อยเท่าพันทวีอีก”

หลักฐานนี้ได้แสดงถึงเจตนารมณ์ของปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี ในการให้ความสำคัญแก่การปฏิรูปบ้านเมืองในด้านกฎหมาย โดยกฎหมายตราสามดวงถือเป็นพระราชกรณียกิจของพระองค์ ที่สะท้อนถึงความยุติธรรมของพระมหากษัตริย์ได้เป็นอย่างดี

สาเหตุของการชำระกฎหมาย และการรวบรวมตัวบทกฎหมายต่างๆ ในสมัยของรัชกาลที่ 1 ปรากฏอยู่ในเอกสารสำคัญ คือ “ประกาศพระราชปรารภ” โดยกล่าวว่า ในรัชสมัยของพระองค์ ได้เกิดคดีอำแดงป้อมฟ้องหย่านายบุญศรี ช่างเหล็กหลวง โดยที่นายบุญศรีสามีมิได้มีความผิด แต่อำแดงป้อมนั่นเองที่ประพฤติไม่สมควร คบชู้ด้วยนายราชาอรรถ แต่พระเกษมซึ่งทำหน้าที่ผู้พิพากษาในคดีนี้กลับเข้าข้างอำแดงป้อม ซ้ำยังพูดจาเกี้ยวพาราสีอำแดงป้อม จึงตัดสินให้อำแดงป้อมหย่ากับนายบุญศรีได้ โดยอ้างว่าหญิงสามารถหย่าขาดจากชายได้แม้ชายมิได้มีความผิด ซึ่งเป็นตัวบทที่ปรากฎอยู่ใน “กฎหมาย ณ สานหลวง” รวมทั้งฉบับ “หอหลวง” และ “ข้างที่” ความว่า “ชายหามิผิดได้หญิงขอหย่าท่านว่าเปนหญิงหย่า ชายหย่าได้ถูกต้อง”

ด้วยเหตุนี้ ในหลวงรัชกาลที่ 1 จึงมีพระราชดำริว่า ตัวบทกฎหมายเช่นนี้ไม่มีความยุติธรรม จึงโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งคณะผู้ชำระกฎหมายขึ้น จำนวน 11 คน ประกอบด้วยอาลักษณ์ 4 คน, ลูกขุน 3 คน และราชบัณฑิต 4 คน รวมเป็น 11 คน โดยคณะผู้ชำระชุดนี้ได้ชำระกฎหมายต่างๆ สำเร็จตามพระราชประสงค์ โดยใช้เวลาทั้งสิ้น 11 เดือน

วิธีการชำระกฎหมาย ณ ขณะนั้น คือ ให้นำตัวบทกฎหมายที่มีอยู่ทั้งหมด มาตรวจสอบเนื้อความจัดเป็นหมวดหมู่ ชำระข้อความที่ฟั่นเฟือน ปราศจากความยุติธรรมออกเสีย แล้วจึงเติมถ้อยความที่สมควรลงไป คำว่า “การชำระกฎหมาย” นั้น อาจกินความหมายดังนี้ด้วยว่า …

“หมายถึงการทำให้บริสุทธิ์ การทำให้บริสุทธิ์อาจรวมไปถึง การชำระตัวบทกฎหมายให้ถูกต้อง ในขณะเดียวกันอาจหมายถึง การชำระหลักการให้ถูกต้องด้วย ซึ่งในที่นี้อาจหมายถึงการชำระให้สอดคล้องกับหลักการของพระพุทธศาสนา”

นอกจากนี้ยังได้เพิ่มเติมตัวบทกฎหมายอื่นๆ อีก เช่น กฎพระสงฆ์ พระราชบัญญัติ และพระราชกำหนดใหม่ โดยเป็นการเพิ่มเข้ามาเพื่อปรับให้สอดคล้องกับอุดมคติของสังคมในสมัยนั้น ซึ่งก็คือหลักการของพระพุทธศาสนา

ในการชำระประมวลกฎหมายฉบับนี้ ในหลวงรัชกาลที่ 1 ได้ทรงให้ปิดดวงตราพระราชสีห์ พระคชสีห์ และบัวแก้ว ไว้ด้านบนทุกปก และทรงกำชับด้วยว่า …

“… หากมีการพิจารณาคดีความใดๆ ซึ่งต้องอ้างอิงตัวบทกฎหมาย หากกฎหมายที่นำมาอ้างไม่มีตราทั้งสามดวงนี้ อย่าให้ผู้ใดเชื่อเป็นเด็ดขาด …”

ด้วยเหตุนี้ประมวลกฎหมายดังกล่าวจึงเรียกกันว่า “กฎหมายตราสามดวง

กฎหมายตราสามดวง ถือได้ว่าเป็นประมวลกฎหมายที่มีโครงสร้างและองค์ประกอบครบถ้วนที่สุดฉบับหนึ่งของโลก ซึ่งประกอบด้วยประมวลพระราชกำหนดบทพระอัยการในเรื่องต่างๆ ทั้งการปกครองและบริหารราชการแผ่นดิน ตลอดจนบังคับให้บุคคลปฏิบัติตนตามระเบียบความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลด้วยกันเอง และบุคคลกับรัฐ

จะเห็นได้ว่า ในหลวงรัชกาลที่ 1 ทรงแสดงให้เห็นถึงการปกครองที่ยึดถือหลักนิติธรรม (The Rule of Law) ซึ่งก็คือการปกครองที่ยึดถือกฎหมายเป็นใหญ่ กล่าวคือ แม้จะทรงเห็นว่ากฎหมายที่เกี่ยวกับคดีนั้นไม่เป็นธรรม แต่ก็ไม่ปรากฏหลักฐานตอนใดตามประกาศพระราชปรารภ ว่าทรงใช้พระราชอำนาจแก้ไขกฎหมายเพื่อเปลี่ยนแปลงคำพิพากษา หรือตำหนิลงโทษตุลาการที่ตัดสินไปตามกฎหมายที่ไม่เป็นธรรม แต่ในทางกลับกัน ทรงเร่งทำการชำระกฎหมายที่คลาดเคลื่อนเสียใหม่ เพื่อให้ตรงกับหลักความยุติธรรมตามพระธรรมศาสตร์เท่านั้น

ข้อสังเกตเพิ่มเติมประการหนึ่งที่สำคัญคือ การผูกโยงพระราชกรณียกิจด้านการชำระกฎหมายไปพร้อมๆกับด้านการศาสนาด้วย กล่าวคือ ทรงให้เริ่มมีการศึกษาพระปริยัติธรรมในพระบรมมหาราชวัง ตรากฎหมายคณะสงฆ์เพื่อจัดระเบียบการปกครองของสงฆ์ให้เรียบร้อย โปรดเกล้าฯ ให้มีการสอบพระปริยัติธรรม และได้สถาปนา พระสังฆราช (ศรี) เป็นสมเด็จพระสังฆราชพระองค์แรกของกรุงรัตนโกสินทร์

การชำระกฎหมายและจัดระเบียบด้านศาสนาที่เด่นชัดอีกประการหนึ่งของในหลวงรัชกาลที่ 1 คือ การปรับเปลี่ยนบทบาทของรัฐต่อการปฏิบัติทางพระพุทธศาสนา ที่เป็นโบราณราชประเพณีแต่โบราณให้มีความเหมาะสมขึ้น

จากกรณีเมื่อข้าราชการไปถวายบังคมพระบรมรูปสมเด็จพระเจ้าอู่ทอง ก่อนการทำความเคารพพระรัตนตรัย ในพิธีถือน้ำศักดิ์สิทธิ์ ในหลวงรัชกาลที่ 1 ทรงมีพระราชวินิจฉัยว่า การทำความเคารพสัญลักษณ์ทางพระพุทธศาสนาควรเป็นสิ่งสำคัญสูงสุดก่อนพระบรมรูปซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของพระมหากษัตริย์ พระองค์จึงทรงปรับเปลี่ยนให้มีลำดับการเคารพเสียใหม่ โดยให้เคารพพระรัตนตรัยก่อน เป็นเสมือนการปรับสถานะอันสูงสุดของพระมหากษัตริย์ให้อยู่ใต้อานุภาพของพระพุทธศาสนา อีกนัยหนึ่งคือ เป็นการเปลี่ยนแนวความคิดเกี่ยวกับฐานะของพระมหากษัตริย์ที่เคยศักดิ์สิทธิ์ดุจเทพให้ลงมาทัดเทียมกับพุทธศาสนิกชนอื่นๆ

และอีกเหตุผลหนึ่งคือ จากความวุ่นวายในช่วงสมัยอยุธยาตอนกลาง ถึงช่วงก่อนการสถาปนากรุงเทพฯ ได้ผลักดันให้ผู้คนมีชีวิตอยู่กับความไม่แน่นอนที่ต้องเสี่ยงทั้งจากภัยสงครามและความไม่ปลอดภัยต่างๆ การหันไปเชื่อถือสิ่งศักดิ์สิทธิ์และความงมงายทั้งหลายจึงกลายเป็นเรื่องปกติในสมัยนั้น ซึ่งในหลวงรัชกาลที่ 1 ทรงแก้ปัญหาและนำพระพุทธศาสนามาปรับเข้าอย่างลงตัว โดยทรงประกาศพระราชกำหนด ในวันพุธเดือน 9 ขึ้น 13 ค่ำ พ.ศ. 2325 ความตอนหนึ่งว่า …

“… สัตว์โลกทั้งปวงทุกวันนี้ ปฏิบัติผิดจากพระไตรสรณาคมจะไปสู่อบายภูมิทังสี่เสียเป็นอันมาก … ครั้นมีทุกข์ขึ้นมานำจิตนั้นก็ผันแปรไปจากพระรัตนะตะยาธิคุณไปถือผีสางเทพารักษต่างต่าง ที่น้ำใจดีเป็นพหูสูตรนั้นถึงจะนับพระภูมิเจ้าที่เทพารักษนั้น ก็ถือเอาแต่โดยจิตคิดว่าเป็นมิตรสหายที่ป้องกันอันตราย มิได้คิดว่าประเสริฐกว่าพระรัตน์ตะยาธิคุณมิได้แต่เพียงนี้ พระไตรสระณาคมก็ยังมิได้ขาด … ครั้นทุกข์บังเกิดมีเพราะกามของตนแต่หลังมิได้แจ้ง ก็เข้าว่าตนถือพระรัตนตยาธิคุณช่วยไม่ได้ เสียน้ำใจ ก็ละพระรัตนตยาธิคุณเสีย ไปถือภูมิเทพารักผีสางต่างต่าง พอสิ้นกรรมจะพ้นทุกข์ก็เข้าใจว่า ภูมิเทพารักษ์ผีสางที่ตนนับถือนั้นว่าประเสริฐกว่าพระรัตนตรัยฉะนี้ … ครั้นจะห้ามเสียไม่ให้ถือผีสางเทพารักษ์ศักดิ์สิทธิ์เล่า ก็มีพระพุทธฎีกาตรัสไว้ในสัตบริยหารริยธรรมเจ็ดประการ อันจะให้บ้านเมืองสมบูรณ์ขึ้นว่า ให้สมเด็จพระมหากษัตริยาธิราชเจ้าบำรุงเทพารักษ์ในกรุงเทพมหานคร …”

จากข้อความข้างต้นถือได้ว่าพระองค์ทรงพระปรีชาสามารถด้านพระพุทธศาสนามาก โดยได้อ้างถึงหลักการในพระสูตรเรื่องอปริหานิยธรรม นำมาปรับใช้กับประชาชนที่ยังประสบทุกข์อย่างไม่ขัดใจจนเกินไป

ทรงใช้เหตุผลนี้กับสถานการณ์ที่ถือได้ว่า เป็นช่วงที่พสกนิกรของพระองค์กำลังประสบความทุกข์ทั้งการอพยพย้ายถิ่น ความตื่นตระหนก และหวาดกลัวจากสงครามที่ยังไม่สิ้น โดยการใช้พระพุทธศาสนาเป็นแกนนั้น ส่วนหนึ่งเพื่อปลอบประโลมใจให้กับประชาชนทั้งหลาย แต่การจะเข้าใจและถือปฏิบัติในพระพุทธศาสนาอย่างถูกต้องนั้น จำเป็นต้องมีการกลั่นกรองในเรื่องความเชื่อผิดๆ รวมทั้งการตรวจสอบความเคร่งครัดในพระธรรมวินัยของคณะสงฆ์ และความถูกต้องบริสุทธิ์ของพระไตรปิฎก ซึ่งพระองค์ทรงตระหนักว่า สิ่งเหล่านี้คือกิจของรัฐที่ต้องเอาใจใส่ ดังที่ได้ปรากฏในกฎหมายตราสามดวงนั่นเอง

ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงการยึดหลักนิติธรรม (The Rule of Law) ของในหลวงรัชกาลที่ 1 โดยมีการชำระตัวบทกฎหมายให้สอดคล้องกับหลักการของพระพุทธศาสนา ตามความเหมาะสมของบริบทในสมัยนั้น และประการสำคัญ ยังเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นถึงการปรับตัวของสถาบันพระมหากษัตริย์เข้าสู่ยุคใหม่ ทั้งในแง่ความเท่าเทียมในฐานะพุทธศาสนิกชน และความสัมพันธ์ระหว่างพระเจ้าแผ่นดินกับประชาชนอีกด้วย

ที่มา :

[1] อาทิตย์ ศรีจันทร์, วรรณกรรมคำสัตย์สาบานในกฎหมายตราสามดวง
[2] พงษ์ณรินทร์ ศรีประเสริฐ, กฎหมายตราสามดวงกระบวนการตรวจสอบความเป็นจริงในคดีอาญา
[3] พระราชกำหนดใหม่ กฎหมายตราสามดวง
[4] ราชบัณฑิตยสถาน

TOP
y

Emet nisl suscipit adipiscing bibendum. Amet cursus sit amet dictum. Vel risus commodo viverra maecenas.

r

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    คุกกี้ที่มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้งานเว็บไซต์ได้อย่างเป็นปกติ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณ เพื่อให้เราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมและความสนใจของคุณ

บันทึกการตั้งค่า