APEC คุมเข้ม! เตือนทุกม็อบที่เตรียมเคลื่อนไหว ระวังเจอกฎหมายสากลจัดหนัก

วันที่ 18-19 พฤศจิกายนนี้ ประเทศไทยเราได้เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสุดยอดผู้นำ APEC ขึ้นที่กรุงเทพฯ และยังได้รับเกียรติให้เป็นเจ้าภาพจัดประชุม APEC ตลอดทั้งปีด้วย ซึ่งการจัดประชุม APEC ในครั้งนี้ถือเป็นโอกาสทองของประเทศไทยในหลายเรื่องๆ ทั้งการประชาสัมพันธ์ประเทศไทยในเวทีระดับโลก อีกทั้งยังเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจให้ขยายตัวในด้านการให้บริการต่างๆ เช่น โรงแรม การท่องเที่ยว และภาคขนส่ง

แต่แน่นอนว่าอีกด้านหนึ่ง การประชุม APEC ครั้งนี้ก็อาจจะถูกคนบางกลุ่มใช้เป็นโอกาสเรียกร้องความสนใจจากสื่อทั่วโลก เพราะนี่คืองานระดับโลก มีคนระดับผู้นำประเทศเข้ามา มีสื่อระดับโลกเข้ามา ก็จะมีความสุ่มเสี่ยงที่คนบางกลุ่มจะฉวยโอกาสนี้ ออกมาก่อม็อบเรียกร้องเรื่องต่างๆ หรือแม้กระทั่งสร้างความวุ่นว่ายให้เกิดขึ้น

โดยเฉพาะกลุ่มที่ประท้วงรณรงค์ยกเลิก ม.112 ที่พยายามหาโอกาสกดดันสื่อหรือตัวแทนจากต่างชาติมาโดยตลอด เช่นกรณีที่กลุ่มคนเหล่านี้มักไปกดดันสถานทูต หรือแม้กระทั่งสื่อต่างๆ ดังที่ผ่านมา และการจัดประชุม APEC ครั้งนี้ ก็มีความสุ่มเสี่ยงที่จะเกิดการชุมนุมประท้วงกดดัน จนอาจล้ำเส้นกลายเป็นความวุ่นวายขึ้นได้

ซึ่งหากมองในแง่การใช้สิทธิเสรีภาพ แน่นอนว่าการออกมารณรงค์เรียกร้องเรื่อง ม.112 ก็เป็นสิทธิที่สามารถทำได้ เพียงแต่ที่ผ่านมาการเรียกร้องในหลายๆ ครั้ง มักจะเลยเถิดจนกลายเป็นการทำผิดกฎหมาย ซึ่งการพิจารณาคดีของบ้านเราก็มักจะมีการอะลุ้มอล่วย เห็นได้จากที่มีการออกมาทำผิดซ้ำซากเกิดขึ้นบ่อยๆ

แต่การประชุม APEC ในครั้งนี้เป็นงานระดับประเทศ ซึ่งแน่นอนว่ากฎกติกาต่างๆ รวมไปถึงการรักษาความปลอดภัยจะยิ่งมีความเข้มงวดขึ้น ซึ่งทางหน่วยงานราชการได้เตรียมความพร้อม ด้วยกำลังเจ้าหน้าที่ทั้งในและนอกเครื่องแบบกว่า 5 หมื่นนาย รวมถึงหน่วยอารักขาความปลอดภัยของผู้นำแต่ละประเทศที่เข้ามาประสานงานร่วมด้วย

ดังนั้น ใครคิดป่วนงานนี้เจอของหนักแน่นอน เพราะทางเจ้าหน้าที่เขาไม่มาหน่อมแน้มด้วยแน่ๆ

และถ้ามีการออกมาชุมนุมเรียกร้องอะไรที่มีการล้ำเส้นขึ้นมาจนเป็นความวุ่นวาย หรือไปกระทบกับผู้นำต่างประเทศ ผู้กระทำผิดนอกจากจะถูกดำเนินคดีในข้อหาหนักแล้ว ประวัติจะถูกส่งไปทั่วโลกด้วย พูดง่ายๆ คืองานนี้หากเกิดปัญหาอะไรขึ้นเขาจะแก้ไขโดยใช้ระบบกฎหมายตามมาตรฐานสากลทันที

ที่สำคัญคือ หากมีการกระทำผิดที่กระทบต่อผู้นำต่างชาติ ผู้กระทำผิดจะถูกดำเนินคดีตามกฎหมายคุ้มครองประมุขต่างประเทศ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 133 และ 134

โดยกฎหมาย มาตรา 133 ระบุว่า “ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายราชาธิบดี ราชินี ราชสามี รัชทายาท หรือประมุขแห่งรัฐต่างประเทศ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงเจ็ดปี หรือปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงหนึ่งแสนสี่หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ”

และกฎหมาย มาตรา 134 ระบุว่า “ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายผู้แทนรัฐต่างประเทศซึ่งได้รับแต่งตั้งให้มาสู่พระราชสำนัก ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หกเดือนถึงห้าปี หรือปรับตั้งแต่หนึ่งหมื่นบาทถึงหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ”

จะเห็นได้ว่า ในมาตรา 133 และ มาตรา 134 มีเนื้อหาเดียวกันกับประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ต่างกันเพียงอัตราโทษของผู้ที่กระทำผิด

และเมื่อพูดถึงการยกเลิก มาตรา 112 ลองคิดดูว่า หากเรายกเลิก มาตรา 112 แต่ยังคงใช้มาตรา 133 กับ 134 ก็เท่ากับว่าเราคุ้มครองประมุขต่างประเทศ แต่ไม่คุ้มครองประมุขของประเทศตัวเอง ซึ่งถือเป็นความลักลั่นย้อนแย้งทางกฎหมาย เป็นเรื่องผิดวิสัยของอารยประเทศอย่างยิ่ง ประชาคมโลกจะมองประเทศเราอย่างไร ที่ไม่ยอมคุ้มครองประมุขของชาติตัวเอง แต่กลับคุ้มครองเฉพาะประมุขของต่างประเทศ

และในอีกทางหนึ่ง หากยกเลิกทั้งมาตรา 112, 133 และ 134 ประเทศไทยก็จะกลายเป็นประเทศป่าเถื่อนในสายตาชาวโลกทันที ทั้งๆ ที่ทั่วโลกเขามีกฎหมายคุ้มครองประมุขของประเทศกัน แต่ประเทศเรากลับไม่คุ้มครองใครเลย แล้วจะมีชาติไหนที่เขาจะมาคบค้าสมาคมกับเรา เพราะนั่นเท่ากับว่าเราไม่ให้เกียรติประมุขของพวกเขา ซึ่งถือเป็นสัญลักษณ์และเป็นเกียรติยศสูงสุดของประเทศ

สำหรับการจัดการประชุม APEC 2022 นี้ หากมีการชุมนุมประท้วงจนเกิดความวุ่นวายขึ้น นอกจากจะเป็นการทำลายภาพลักษณ์ของประเทศแล้ว ยังเป็นการสร้างภาพลบย้อนกลับไปที่กลุ่มผู้ชุมนุมเองด้วย ตัวอย่างชัดๆ ให้ลองย้อนกลับไปดูการประชุมสุดยอดอาเซียนที่พัทยา เมื่อวันที่ 10-11 เมษายน 2552 ซึ่งในครั้งนั้นมีกลุ่มคนเสื้อแดงหรือ นปช. บุกเข้าไปในโรงแรม และยังมีกลุ่มคนเสื้อน้ำเงินออกมาขัดขวางอีก สุดท้ายกลายเป็นเหตุการณ์ความรุนแรง จนรัฐบาลต้องสั่งยุติการประชุมทั้งที่ยังไม่ทันได้เริ่มเปิดการประชุม และเชิญผู้นำอาเซียนทั้งหมดเดินทางกลับทันที เหตุการณ์ในครั้งนั้นเรียกได้ว่าพังกันทั้งประเทศ ส่วนแกนนำ นปช. สุดท้ายก็ติดคุกและกลายเป็นภาพจำของความป่าเถื่อนไปเลย

จริงๆ แล้วหากใครที่ต้องการออกมาเรียกร้อง หรือรณรงค์เห็นต่างเรื่องใดๆ เขาก็มีสถานที่ให้พูดคุยกันสดๆ และยังถ่ายทอดไปถึงห้องนักข่าวที่ศูนย์ประชุมฯ อีกด้วย ซึ่งนอกจากจะเป็นการเรียกร้องอย่างถูกกฎหมายแล้ว ยังลดความสุ่มเสี่ยงที่จะทำให้เกิดความเดือดร้อนหรือสร้างภาพลักษณ์ไม่ดีให้กับประเทศด้วย

เสรีภาพเป็นสิ่งที่ควรมี แต่ต้องอยู่ภายใต้กฎหมาย ภายใต้ความมีอารยะ ใครที่คิดจะสร้างความวุ่นวายในการประชุม APEC ครั้งนี้ อยากให้คิดใหม่ครับ เพราะถ้ามันเลยเถิดจนกลายเป็นความรุนแรง มันจะเป็นปัญหาใหญ่ถึงขั้นกระทบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศทันที ซึ่งแน่นอนว่าเป็นความเสียหายที่ใหญ่โตเกินกว่าใครจะรับผิดชอบได้

และในอีกด้านหนึ่ง การประชุม APEC ครั้งนี้ คือความสำเร็จของคนไทยทั้งชาติ คือโอกาสทางเศรษฐกิจ ประชาชนได้มีงานทำ มีรายได้ ประเทศไทยได้สร้างชื่อเสียง หากทั้งหมดนี้ถูกทำลายลงด้วยคนแค่กลุ่มเดียว ถามว่ามันคุ้มไหม เพราะการชุมนุมเรียกร้องที่ผ่านๆ มา หลายๆ คนเริ่มเบื่อหน่ายเริ่มไม่มีใครเอาด้วยแล้ว ถ้ายังปล่อยให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นอีก สุดท้ายคนพวกนี้ก็จะถูกโดดเดี่ยว และจะถูกมองว่าเป็นพวกที่สร้างปัญหาให้สังคมมากขึ้นเรื่อยๆ

ฉะนั้นถ้าใครคิดจะฉวยโอกาสนี้ออกมาสร้างความวุ่นวาย อยากจะบอกว่า คิดดูให้ดีๆ ครับ

มาร่วมเป็นเจ้าภาพ เป็นเจ้าบ้านให้ประเทศไทย กับความภาคภูมิใจของคนทั้งประเทศดีกว่าครับ