ในหลวงรัชกาลที่ 9 พระมหากษัตริย์ผู้ทรงคลี่คลายความขัดแย้ง เปลี่ยนแปลงวิกฤติสู่สันติ

ในประวัติศาสตร์ของไทยมีเหตุการณ์วิกฤติทางการเมืองเกิดขึ้นหลายต่อหลายครั้ง และในบางเหตุการณ์ก็นำมาซึ่งความสูญเสียทั้งการบาดเจ็บและเสียชีวิตของประชาชน อันเป็นผลมาจากความขัดแย้งของกลุ่มบุคคลสองฝ่าย

และไม่ใช่แค่ประเทศไทยเท่านั้น ประเทศต่างๆ ในโลกล้วนเคยเผชิญภาวะวิกฤติทางการเมืองเช่นนี้ บางประเทศความขัดแย้งลุกลามรุนแรงจนกลายเป็นสงครามกลางเมือง ผู้คนล้มตายหลักหมื่นหลักแสน กระทั่งไปถึงการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์กันก็มี

ซึ่งในอดีตเหตุการณ์ความรุนแรงจากวิกฤติทางการเมืองหลายครั้งของไทย ก็เคยปะทุขึ้นจากจุดไม่คาดฝัน และลุกลามแผ่ขยาย กระทั่งมีแนวโน้มอาจกลายเป็นโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ดังเช่นหลายประเทศในโลก

แต่ทว่าคนไทยกลับผ่านพ้นวิกฤติความขัดแย้งและความรุนแรงต่างๆ เหล่านั้นมาได้ ด้วยคำพูดของคนๆ เดียว

14 ตุลาคม 2516 คือปรากฏการณ์ทางการเมืองที่นิสิตนักศึกษาทั่วประเทศ และประชาชนจากทุกภาคส่วน รวมพลังกันลุกขึ้นมาต่อต้านอำนาจเผด็จการของกลุ่มจอมพลถนอม กิตติขจร ที่สืบทอดอำนาจบริหารบ้านเมืองมาอย่างยาวนาน โดยในวันที่ 13 ตุลาคม นักศึกษาและประชาชนเรือนแสนได้เดินขบวนไปตามถนนราชดำเนิน หลังจากยื่นคำขาดให้รัฐบาลประกาศใช้รัฐธรรมนูญโดยเร็ว และปล่อยตัวนักศึกษาจำนวน 13 คน ที่เคยถูกจับกุมตัวก่อนหน้านั้นจากการแจกใบปลิวต่อต้านรัฐบาล

ปรากฎการณ์มวลชนดังกล่าว ส่งผลให้เกิดการเจรจาขึ้นระหว่างตัวแทนนักศึกษากับรัฐบาล นำไปสู่การที่รัฐบาลยอมรับข้อเสนอของกลุ่มผู้ชุมนุม แต่ในขณะที่เหตุการณ์กำลังจะคลี่คลาย กลับเกิดการปะทะอย่างไม่คาดฝันขึ้น และลุกลามขยายวงกว้างกลายเป็นการเข้าปราบปรามมวลชนในวันที่ 14 ตุลาคม โดยกำลังทหารและตำรวจ ทำให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก

รัฐบาลได้ออกแถลงการณ์เป็นระยะ ขณะเดียวกันก็ส่งกำลังทหารและตำรวจออกปราบปราม มีทั้งรถถังเฮลิคอปเตอร์ และอาวุธสงครามหนัก โดยจุดปะทะและนองเลือดมีตลอดสายถนนราชดำเนิน จนทำให้นักศึกษาบางส่วนกรูกันเข้าไปเพื่อหลบภัยในพระราชวังสวนจิตรลดา โดยมีมหาดเล็กเป็นคนเปิดประตูให้ ซึ่งผู้คนทั้งหลายมาทราบในภายหลังว่า ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงพระกรุณารับสั่งให้มหาดเล็กช่วยเหลือนักศึกษาให้เข้ามาหลบภัยภายในพระราชวังสวนจิตรลดา และพระราชทานความช่วยเหลือแก่กลุ่มคนเหล่านั้น

เหตุความรุนแรงได้แผ่ขยายไปยังพื้นที่อื่นๆ และไม่มีทีท่าว่าจะยุติลง รัฐบาลประกาศเคอร์ฟิวส์ และกําหนดให้บริเวณมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และศิลปากรเป็นเขตอันตราย โดยเตรียมพร้อมที่จะทําการกวาดล้างใหญ่

ไม่มีใครคาดการณ์ได้ว่าวันแห่งความวิปโยคครั้งนั้นจะจบลงที่จุดไหน และในขณะที่ความรุนแรงมีทีท่าว่าจะลุกลามบานปลายขึ้นเรื่อยๆ นั้นเอง …

เวลา 19:15 น. ของวันที่ 14 ตุลาคม ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงมีพระราชดำรัสทางวิทยุและโทรทัศน์ ทรงขอให้ทุกฝ่ายระงับเหตุแห่งความรุนแรง และหันหน้าเข้าประนีประนอมกัน โดยพระราชดำรัสความว่า …

“… วันนี้เป็นวันมหาวิปโยคที่น่าเศร้าสลดอย่างยิ่งในประวัติศาสตร์ชาติไทย ตลอดระยะเวลา 6-7 วันที่ผ่านมา ได้มีการเรียกร้องและการเจรจากัน จนกระทั่งนักศึกษาและรัฐบาลทำข้อตกลงกันได้ แต่แล้วการขว้างระเบิดขวด และยิงแก๊สน้ำตาทำให้เกิดการปะทะกัน และมีคนได้รับบาดเจ็บหลายคน ความรุนแรงได้ทวีขึ้นทั่วพระนครถึงขั้นจลาจล และยังไม่สิ้นสุด มีคนไทยด้วยกันเสียชีวิตนับร้อย ขอให้ทุกฝ่ายทุกคนจงระงับเหตุแห่งความรุนแรงด้วยการตั้งสติยับยั้งเพื่อให้ชาติบ้านเมืองคืนอยู่ในสภาพปกติ …”

ตามมาด้วยการปราศรัยทางโทรทัศน์ของศาสตราจารย์สัญญา ธรรมศักดิ์ นายกรัฐมนตรีคนใหม่ ภายหลังจากที่จอมพลถนอม กิตติขจร ประกาศลาออกจากตําแหน่งนายกรัฐมนตรี โดยศาสตราจารย์สัญญา ธรรมศักดิ์ ได้ขอให้ทุกฝ่ายคืนสู่ความสงบ และประกาศจะใช้รัฐธรรมนูญภายใน 6 เดือน

เหตุการณ์ความขัดแย้งและความรุนแรงในวันวิปโยค 14 ตุลาคม 2516 จึงได้ยุติลงนับจากนั้น

พฤษภาทมิฬ พ.ศ. 2535 คืออีกหนึ่งเหตุการณ์วิกฤติทางการเมืองของไทย ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่ประชาชนเคลื่อนไหวประท้วงรัฐบาลที่มี พล.อ.สุจินดา คราประยูร เป็นนายกรัฐมนตรี และต่อต้านการสืบทอดอำนาจของคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.) ในระหว่างวันที่ 17-24 พฤษภาคม พ.ศ. 2535 จนนำไปสู่เหตุการณ์ปราบปรามและปะทะกันระหว่างเจ้าหน้าที่ตำรวจทหาร กับประชาชนผู้ชุมนุม ทำให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก

ความรุนแรงและการสูญเสียจากเหตุการณ์พฤษภาทมิฬนั้น อยู่ในช่วงระหว่างวันที่ 17-20 พฤษภาคม 2535 รัฐบาลของ พล.อ. สุจินดา ได้ส่งกำลังทหารและตำรวจหลายพันคน พร้อมรถถังและรถหุ้มเกราะเข้าสลายการชุมนุมที่สะพานผ่านฟ้า ในคืนวันที่ 17 พฤษภาคม โดยใช้กระสุนจริงระดมยิงผู้ชุมนุมไล่ไปจนถึงกรมประชาสัมพันธ์และโรงแรมรัตนโกสินทร์ ทำให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจากการปราบปรามครั้งนั้นจำนวนหลายร้อยคน และมีผู้สูญหายอีกเป็นจำนวนมาก

ต่อมาวันที่ 18 พฤษภาคม พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ผู้นำการชุมนุมได้ถูกจับกุมตัว แต่ผู้ประท้วงยังคงพยายามรวมตัวกันท่ามกลางการปราบปรามอย่างต่อเนื่องของกำลังทหาร กระทั่งเช้าวันที่ 19 พฤษภาคม ทหารได้เข้าควบคุมสถานการณ์บริเวณถนนราชดำเนินไว้ได้ แต่ผู้รอดชีวิตบางส่วนได้ย้ายไปชุมนุมต่อที่มหาวิทยาลัยรามคำแหงและเพิ่มจำนวนขึ้นกว่าแสนคนในช่วงค่ำของวันที่ 20 พฤษภาคม

ในขณะที่เจ้าหน้าที่ทหาร พร้อมรถถังและรถหุ้มเกราะ เคลื่อนกำลังมุ่งสู่มหาวิทยาลัยรามคำแหง ที่มีผู้ชุมนุมเรือนแสนปักหลักอยู่ทั้งนักศึกษาและประชาชน ซึ่งหากเกิดการปราบปรามขึ้น เหตุการณ์ในคืนนั้นอาจกลายเป็นโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ที่ไม่อาจประเมินความสูญเสียได้เลย

แต่แล้วในเวลา 23.30 น. เหตุการณ์พฤษภาทมิฬก็สงบลงได้ด้วยพระบารมีของในหลวงรัชกาลที่ 9 โดยพระองค์ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ พล.อ. เปรม ติณสูลานนท์ องคมนตรีและรัฐบุรุษ นำ พล.อ. สุจินดา คราประยูร นายกรัฐมนตรี และ พล.ต. จำลอง ศรีเมือง เข้าเฝ้าฯ รับพระราชกระแสรับสั่งพร้อมกัน ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน เพื่อแก้ไขสถานการณ์บ้านเมืองที่กำลังเลวร้าย ทำให้ความขัดแย้งต่างๆ ยุติลงทันทีท่ามกลางเสียงโห่ร้องแสดงความยินดีของประชาชน

โดยความบางตอนจากพระราชดำรัส เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2535 ระหว่างเหตุการณ์ “พฤษภาทมิฬ” ความว่า …

“… ขอให้สองท่าน หันหน้าเข้าหากัน ไม่ใช่เผชิญหน้ากันเพียงแต่ว่าจะต้องเอาชนะ แล้วใครจะชนะ ไม่มีทาง มีแต่แพ้ คือต่างคนต่างแพ้ แล้วที่แพ้ที่สุดคือประเทศชาติ ประชาชน แล้วจะมีประโยชน์อะไร ที่จะทะนงตัวว่าชนะ เวลาอยู่บนกองสิ่งปรักหักพัง …”

ทั้งหมดนี้คือเหตุการณ์ความรุนแรงอันเกิดจากความขัดแย้งของคนในชาติ ที่ได้คลี่คลายและยุติลงได้ด้วยพระบารมีของในหลวงรัชกาลที่ 9

ตลอดกว่า 70 ปี ที่ทรงครองราชย์ ในหลวงรัชกาลที่ 9 ได้ทรงยึดถือหลักการและระมัดระวัง ไม่ทรงก้าวก่ายทางการเมืองใดๆ ทั้งสิ้น และพระองค์ก็ไม่เคยแทรกแซงการบริหารประเทศนอกเหนือไปจากที่กฎหมายกำหนดให้เป็นพระราชอำนาจเท่านั้น

แต่เมื่อใดที่บ้านเมืองตกอยู่ในภาวะวิกฤติ พระองค์ก็จะทรงให้คำแนะนำ หรือปฏิบัติพระราชกรณียกิจอย่างเหมาะสม ปฏิบัติพระองค์เสมือนคนกลาง ให้ทุกคน ทุกฝ่าย ก้าวพ้นจากความขัดแย้ง และหันหน้ารอมชอมกัน เพื่อให้ประเทศชาติกลับคืนสู่ความสงบเรียบร้อยและผ่านพ้นวิกฤติเลวร้ายต่างๆ ไปได้

TOP
y

Emet nisl suscipit adipiscing bibendum. Amet cursus sit amet dictum. Vel risus commodo viverra maecenas.

r

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    คุกกี้ที่มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้งานเว็บไซต์ได้อย่างเป็นปกติ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณ เพื่อให้เราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมและความสนใจของคุณ

บันทึกการตั้งค่า