‘หมอบกราบ’ ในธรรมเนียมปฏิบัติของการให้เกียรติซึ่งกันและกัน ความหมายในมิติที่มากกว่าระบบไพร่ทาสและศักดินา

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 เสด็จขึ้นครองราชย์ ในปี พ.ศ. 2411 ขณะเมื่อพระชนมายุ 15 พรรษา ภายใต้การบริหารราชการแผ่นดินของสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยงวงศ์ (ช่วง บุนนาค) ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ จนกระทั่งได้ทรงพระราชพิธีบรมราชาภิเษกครั้งที่ 2 ในปี พ.ศ. 2416 ขณะทรงพระชนมายุ 20 พรรษา ภายหลังพิธีบรมราชาภิเษกครั้งที่ 2 กฎหมายฉบับแรกที่มาจากพระราชอำนาจในฐานะพระมหากษัตริย์ของในหลวงรัชกาลที่ 5 คือ “ประกาศเปลี่ยนธรรมเนียมใหม่”

สาระสำคัญของ “ประกาศเปลี่ยนธรรมเนียมใหม่” คือ นับตั้งแต่ประเทศไทยทำสนธิสัญญาเบาว์ริง ในปี พ.ศ. 2398 ซึ่งตรงกับรัชสมัยของรัชกาลที่ 4 ส่งผลให้มีประเทศต่างๆ ทยอยกันเข้ามาขอทำสนธิสัญญาทางพระราชไมตรีกับไทยอีกหลายสิบประเทศ ทำให้ประเทศไทยมีการติดต่อค้าขายกับชาวต่างชาติมากขึ้น ด้วยเหตุนี้ในหลวงรัชกาลที่ 4 จึงทรงให้ชาวต่างชาติเข้าเฝ้าหรือเข้าร่วมพระราชพิธี และทำความเคารพด้วยธรรมเนียมของชาติตนได้ จึงทำให้เกิดการปฏิบัติที่แตกต่างขึ้นระหว่างขุนนางชาวไทยที่เข้าเฝ้าด้วยการหมอบคลาน และชาวต่างชาติที่เข้าเฝ้าด้วยการยืนและแสดงความเคารพด้วยการโค้งศีรษะคำนับ

ดังนั้น เมื่อเข้าสู่รัชสมัยของรัชกาลที่ 5 เพื่อป้องกันไม่ให้ชาวต่างชาติดูถูกประเพณีไทยว่าล้าหลัง พระองค์จึงทรงประกาศให้การเข้าเฝ้าและการแสดงความเคารพ เปลี่ยนมาใช้ตามแบบอย่างค่านิยมตะวันตก

กล่าวกันว่า ภายหลังยกเลิกประเพณีหมอบคลาน ยังมีเจ้านายบางพระองค์ที่ยึดถือค่านิยมแบบเก่า ไม่ยอมยืนถวายคำนับ เช่น พระองค์เจ้าหญิงผ่องประไพ พระราชธิดาของในหลวงรัชกาลที่ 5 ที่ทรงหมอบรับเสด็จขณะที่ในหลวงรัชกาลที่ 5 เสด็จพระราชดำเนินผ่าน ทำให้พระองค์ทรงกริ้วเป็นอย่างมาก

การที่ในหลวงรัชกาลที่ 5 ประกาศเปลี่ยนธรรมเนียมยกเลิกการหมอบคลานนั้น เป็นเรื่องของการยกเลิกกฎหมายที่กดขี่ผู้น้อยให้แสดงความเคารพต่อผู้มีบรรดาศักดิ์ ซึ่งถ้าหากใครไม่ทำก็จะเป็นความผิดตามกฎหมาย และทั้งนี้ก็เพื่อไม่ให้ชาวต่างชาติดูถูกคนไทยว่ามีวัฒนธรรมที่ล้าหลังแตกต่างจากอารยประเทศ จึงทรงให้คนไทยปฏิบัติเช่นเดียวกับชาวต่างชาติ ที่แสดงความเคารพตามวัฒนธรรมของชาติตน

อย่างไรก็ตาม หากเป็นกรณีการแสดงความเคารพแบบส่วนพระองค์ หรือในพระราชพิธีภายในราชสำนัก สำหรับคนไทยก็ยังคงแสดงความเคารพต่อพระมหากษัตริย์ด้วยการหมอบกราบ หรือการถวายบังคมอยู่ดี และในหลวงรัชกาลที่ 5 ก็ทรงรับการทำความเคารพตามแบบประเพณีของไทยอยู่ ไม่ว่าจะเป็นการที่พระเจ้าลูกเธอหรือข้าราชสำนัก หมอบกราบในโอกาสต่างๆ เว้นเสียแต่ว่ามีการออกพระราชพิธีที่เป็นทางการ ก็จะทรงให้ใช้การแสดงความเคารพแบบสากล ตามธรรมเนียมปฏิบัติของชาวต่างชาติ

สิ่งเหล่านี้ คือแง่มุมหนึ่งของการหมอบกราบที่สะท้อนถึงความแตกต่าง และการแบ่งแยกชั้นวรรณะ ซึ่งในหลวงรัชกาลที่ 5 ทรงต้องการยกเลิกสิ่งเหล่านี้ เพื่อยกระดับของสยามให้ทัดเทียมกับอารยประเทศ ซึ่งถือเป็นการปรับเปลี่ยนตามบริบทบ้านเมืองในขณะนั้น

แต่การไหว้หรือการกราบนั้น ยังมีอีกแง่มุมหนึ่ง นั่นคือแง่มุมของประเพณีปฏิบัติที่แสดงให้เห็นถึงการให้ความเคารพ หรือการให้เกียรติกันอีกด้วย

การไหว้หรือการกราบ เป็นประเพณีการแสดงความเคารพที่บุคคลหนึ่งแสดงออกต่อบุคคลหนึ่ง ไม่จำกัดเพียงคนไทยเท่านั้น หากแต่เป็นวัฒนธรรมสากลในแถบเอเชียใต้ที่ยึดถือปฏิบัติกันมานมนาน และวิธีการแสดงออกก็มีหลายระดับ ซึ่งแตกต่างไปตามระดับความสัมพันธ์ เช่น การไหว้ระดับอก สำหรับไหว้บุคคลที่สถานะเท่ากันหรือเป็นการที่ผู้ใหญ่รับไหว้ผู้น้อย หรือการไหว้ที่พนมมือขึ้นระดับศีรษะสำหรับไหว้ผู้ใหญ่

แต่ทั้งนี้การไหว้เป็นเพียงการแสดงความเคารพกึ่งทางการเท่านั้น ถ้าหากเป็นการแสดงความเคารพอย่างเป็นทางการ จะเป็นการกราบ ซึ่งเรียกว่าการกราบ “เบญจางคประดิษฐ์” คือการกราบโดยให้อวัยวะ 5 ส่วน อันได้แก่ เข่าทั้งสอง ฝ่ามือทั้งสอง และหน้าผาก จรดลงให้ติดกับพื้น

หรือหากเป็นการแสดงความเคารพอย่างสูงสุด ซึ่งเรียกว่า “อัษฎางคประดิษฐ์” คือ การกราบโดยให้องคาพยพทั้ง 8 ตำแหน่งของร่างกาย อันได้แก่ หน้าผาก 1 หน้าอก (บางแห่งว่าหน้าท้อง) 1 ฝ่ามือทั้ง 2 เข่าทั้ง 2 และปลายเท้าทั้ง 2 สัมผัสธรณี การกราบในลักษณะนี้มักเรียกกันว่า “การกราบแบบธิเบต” แต่อันที่จริงแล้วเป็นท่านมัสการที่แพร่หลายทั่วไปอยู่แล้วในกลุ่มพุทธศาสนิกชนที่นับถือลัทธิ ตันตรยาน หรือ วัชรยาน เช่น ในอินเดีย กัมพูชาสมัยเมืองพระนคร กระทั่งธิเบต เนปาล และภูฏาน ซึ่งทุกวันนี้ก็ยังทำกันอยู่ และไม่เพียงเท่านั้น ในคริสตจักรออร์ทอดอกซ์ ก็มีการแสดงความเคารพในทำนองเดียวกับอัษฎางคประดิษฐ์เช่นกัน ต่างกันเพียงแค่ไม่มีการพนมมือ

สำหรับประเทศไทยในปัจจุบัน ยังคงมีประเพณีปฏิบัติที่มีการหมอบกราบ อันแสดงถึงความเคารพและการให้เกียรติต่อบุคคลอื่น เช่น พิธีไหว้ครู

สำหรับคนไทยแล้วถือกันว่าวิชาความรู้เป็นทรัพย์ที่ล้ำค่า การที่ใครสักคนถ่ายทอดวิชาความรู้ให้กับเราจึงถือเสมือนผู้มีพระคุณประดุจบิดามารดา ดังนั้น วัฒนธรรมไทยจึงมีค่านิยมบูชาพระคุณครูบาอาจารย์ ซึ่งนอกจากจะเป็นการแสดงความเคารพและให้เกียรติแล้ว ยังเป็นการสร้างความตระหนักให้เราไม่หลงลืมตัว ฉะนั้น การแสดงความเคารพต่อครูบาอาจารย์ จึงไม่ใช่การแบ่งชนชั้นวรรณะ ไม่เกี่ยวอะไรกับศักดินาเลย หากแต่เป็นเรื่องของการแสดงความเคารพต่อผู้มีพระคุณ และอีกนัยหนึ่งยังเป็นการลดความถือดี ลดการยึดมั่นในตัวตนของเราลงอีกด้วย

ประเทศไทยในยุคปฏิรูปบ้านเมืองสมัยรัชกาลที่ 5 ได้เริ่มมีการปฏิรูปการศึกษา โดยจัดตั้งโรงเรียนให้ประชาชนทั่วไปเข้าถึงการศึกษาและมีวิชาความรู้ในการหาเลี้ยงชีพ ตามพระนิพนธ์เรื่องประวัติอาจารย์ ของ สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ได้ทรงเล่าว่า เมื่อทรงพระผนวชที่วัดนิเวศน์ธรรมประวัติ เมื่อปี พ.ศ. 2435 ทรงเห็นว่าโรงเรียนยังขาดการสอนคติธรรม จึงทรงขอให้พระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย อาจารยางกูร) ช่วยแต่ง “คำนมัสการคุณานุคุณ” ขึ้นมาเพื่อให้นักเรียนท่อง

คำนมัสการคุณานุคุณ ของ พระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย อาจารยางกูร) ประกอบไปด้วย บทนมัสการพระพุทธเจ้า (องค์ใดพระสัมพุทธ สุวิสุทธสันดาน) บทนมัสการพระธรรม และบทนมัสการพระสงฆ์ สำหรับให้นักเรียนสวดตอนเช้าก่อนเริ่มเรียน คำบูชาบิดามารดา และคำบูชาคุณครู สำหรับสวดก่อนเริ่มเรียนตอนบ่าย และคำบูชาคุณพระมหากษัตริย์ กับคำขอพรเทวดา สำหรับสวดเมื่อเลิกเรียน

แม้ว่าในปัจจุบัน การสร้างจิตสำนึกที่ดีงามในลักษณะนี้ จะถูกลดรูปเหลือเพียงแค่กิจกรรมการไหว้ครูปีการศึกษาละครั้งเท่านั้น แต่คนไทยและเยาวชนไทยส่วนใหญ่ก็ยังคงรู้สึกถึงจิตสำนึกที่ดีงาม ยังคงสืบสานค่านิยมและวัฒนธรรมอันแสดงให้เห็นถึงการให้เกียรติผู้อื่น สืบต่อไปในอนาคต โดยอยู่บนพื้นฐานของการเคารพในสิทธิและเสรีภาพ ซึ่งเป็นสิ่งที่ชี้ให้เห็นว่า คนส่วนใหญ่ในสังคมแยกแยะออกว่าอะไรเป็นอะไร และไม่หลงเชื่อการอ้างเหตุผลแบบจับแพะชนแกะของคนบางกลุ่ม เพียงเพื่อหวังผลทางการเมือง และสร้างกระแสปลุกปั่นทำลายรากฐานของสังคม

อ้างอิง :

[1] ประกาศเปลี่ยนธรรมเนียมใหม่, ราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 1 วันจันทร์ เดือน 8 แรม ค่ำ 1 ปีจอฉศก 1236 แผ่นที่ 7
[2] ดำรงราชานุภาพ,สมเด็จฯ กรมพระยา. ประวัติอาจารย์. [ม.ป.ท. : ม.ป.พ.], 2478.

TOP
y

Emet nisl suscipit adipiscing bibendum. Amet cursus sit amet dictum. Vel risus commodo viverra maecenas.

r

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    คุกกี้ที่มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้งานเว็บไซต์ได้อย่างเป็นปกติ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณ เพื่อให้เราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมและความสนใจของคุณ

บันทึกการตั้งค่า