‘สมบูรณาญาสิทธิราชย์จำแลง’ วาทกรรมบิดเบือน กล่าวหา ‘สถาบันพระมหากษัตริย์’ เพื่ออำนาจทางการเมือง
ประเทศไทย ปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (Constitutional Monarchy) ซึ่งเป็นรูปแบบหนึ่งของการปกครองที่ถือว่าพระมหากษัตริย์ทรงดำรงตำแหน่งเป็นพระพระมุขของชาติ แต่ก็ทรงอยู่ “ภายใต้” บทบัญญัติหรือ “ข้อจำกัด” ของรัฐธรรมนูญอีกทีหนึ่ง
พูดง่าย ๆ ก็คือ พระมหากษัตริย์ทรงสละ “พระราชอำนาจส่วนใหญ่ที่มีมาแต่เดิม” ให้กับประชาชน เพื่อให้ประชาชนได้เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย และปกครองประเทศชาติร่วมกันผ่านอำนาจอธิปไตยนี้ นั่นคือ ฝ่ายบริหาร (รัฐบาล), สภานิติบัญญัติ (ส.ส. และ ส.ว.) และฝ่ายตุลาการ (ศาล)
ทุกวันนี้รัฐบาลมีอำนาจในการบริหารราชการแผ่นดิน จะพิจารณางบประมาณก็พิจารณาผ่านการประชุมและลงมติในสภาฯ ฝ่ายการเมืองจะทำโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค กองทุนหมู่บ้าน บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จำนำข้าว ประกันรายได้ ทำรถไฟฟ้า รถไฟทางคู่ รถไฟความเร็วสูง หรืออะไรก็แล้วแต่ ล้วนเป็นอำนาจของฝ่ายการเมือง
พระมหากษัตริย์มิได้เข้ามาก้าวก่ายนโยบายการบริหารประเทศของแต่ละรัฐบาลเลย
โดยพระมหากษัตริย์ในระบอบประชาธิปไตยทั่วโลก ล้วนแต่ทรงมีบทบาทและพระราชอำนาจอันพึงมีคล้ายคลึงกัน หากแต่มีรายละเอียดปลีกย่อยของพระราชอำนาจ ที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญมากน้อยไม่เท่ากัน แตกต่างกันไปตามเงื่อนไขทางประวัติศาสตร์ อัตลักษณ์ของชาติ และวัฒนธรรมที่ต่างกัน
เมื่อ “สมบูรณาญาสิทธิราชย์” หมายถึง ระบอบการปกครองที่พระมหากษัตริย์เพียงพระองค์เดียว ถืออำนาจสิทธิ์ขาดในการบริหารประเทศ วาทกรรม “สมบูรณาญาสิทธิราชย์จำแลง” จึงเป็นเพียงคำพูด “โกหก” และมีเจตนา “บิดเบือน” เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ผิด เพราะพระมหากษัตริย์ไทยมิได้ทรงบริหารประเทศด้วยตนเอง เหมือนในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มาตั้งแต่หลังคณะราษฎรเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี พ.ศ. 2475
และคณะราษฎรเองต่างหากที่ได้ปล้นพระราชอำนาจ โดยอ้างว่าทำในนามของราษฎรและเพื่อราษฎร แต่กลับถ่ายโอนอำนาจอธิปไตยมาสู่คณะปกครองเสียเอง ไม่ได้ทำอำนาจอธิปไตยให้เป็นของปวงชนอย่างแท้จริง รูปแบบการปกครองในทางปฏิบัตินับตั้งแต่นั้นเรื่อยมาจนถึงปัจจุบันจึงเป็น “คณาธิปไตย” ที่อำนาจสูงสุดในการปกครองอยู่ที่ “คณะปกครอง” มาโดยตลอด ในขณะที่ประชาชนกลายเป็นตัวประกอบในเกมการเมืองเท่านั้น และในปัจจุบันประชาชนยังกลายเป็น “เครื่องมือ” ของนักการเมืองบางคนด้วยซ้ำ
ดังนั้นการที่พรรคการเมืองบางพรรค ตลอดจนกลุ่มม็อบปลดแอก พยายามปั่นกระแสเรื่อง “สมบูรณาญาสิทธิราชย์จำแลง” จึงเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจากการเล่น “วาทกรรมทางการเมือง” ซึ่งเป็นการดึงเอาสถาบันพระมหากษัตริย์มาใช้เป็น “เครื่องมือทางการเมือง” ให้มวลชนพุ่งเป้าความเกลียดชังไปยังสถาบันพระมหากษัตริย์
และนักการเมืองกลุ่มนี้ ยังสร้างภาพประหนึ่งว่า การที่ประเทศชาติถดถอย จากการบริหารประเทศที่ไม่ดี มีการคอร์รัปชัน รวมถึงสิ่งเลวร้ายทั้งหมด ล้วนแต่เป็นความผิดของพระมหากษัตริย์ที่เป็นผู้สั่งการอยู่เบื้องหลัง และหากอยากหลุดพ้นสภาพนั้น ต้องเลือกพวกเขาให้มีอำนาจเท่านั้น
ซึ่งเป็นการเล่นการเมืองสกปรก ที่หากินกับความไม่รู้ของมวลชน และเป็นการดูถูกสติปัญญาคนไทยทั้งประเทศ
กลุ่มคนเหล่านี้ ไม่เคยชี้ให้เห็นถึงต้นตอที่แท้จริงของปัญหา ไม่ว่าจะเป็นการบริหารบ้านเมืองของฝ่ายรัฐบาล หรือแม้แต่ปัญหาระบอบเผด็จการ ที่มาจากคณาธิปไตยของบรรดานักธุรกิจการเมืองนับตั้งแต่คณะราษฎรเป็นต้นมา แต่กลับบิดเบือนและโยนความผิดให้สถาบันพระมหากษัตริย์ และหมกมุ่นอยู่แต่กับคำว่า “สมบูรณาญาสิทธิราชย์” และ “การปฏิวัติ”
ถามว่าแบบนี้ใครกันแน่ที่ยังล้าหลัง และวนเวียนอยู่แต่กับอดีต
เราทุกคนทราบดีว่า ในหลวงทรงประกาศไว้ในปฐมบรมราชโองการ จะสืบสาน ต่อยอดสิ่งต่าง ๆ ที่ในหลวงรัชกาลก่อนหน้าได้ทรงสร้างไว้ และสิ่งนั้นรวมถึง การที่สถาบันพระมหากษัตริย์ไทย มีพระราชดำริที่จะพระราชทานรัฐธรรมนูญและนำมาซึ่งระบอบประชาธิปไตย มาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 และในหลวงรัชกาลที่ 10 ทรงมีพระราชปณิธาน สืบสาน ต่อยอดพระราชประสงค์ของบูรพกษัตริย์ ที่จะทำให้ประเทศชาติเป็นประชาธิปไตยต่อไป
ดังนั้น จึงไม่มีเหตุผลอย่างยิ่ง ในการพยายามใส่ความสถาบันพระมหากษัตริย์ ด้วยวาทกรรม “สมบูรณาญาสิทธิราชย์จำแลง”
การที่สถาบันพระมหากษัตริย์ปฏิรูปตัวเองเพื่อประเทศชาติมาโดยตลอด และหลอมรวมประยุกต์เข้ากับสังคมไทยเรื่อยมา จนถึงปัจจุบัน เป็นสิ่งที่ยืนยันชัดเจนว่า เรามาไกลเกินกว่าคำว่าสมบูรณาญาสิทธิราชย์มากแล้ว และไม่มีวันที่จะหวนกลับไปสู่สมบูรณาญาสิทธิราชย์ได้อีก