‘ปรสิตสังคมลัทธินอกรีต’ เมื่อชาวญี่ปุ่นหลงทางในความมืด ผลจากอเมริกาพรากความศรัทธาสมเด็จพระจักรพรรดิแบบฟ้าผ่า

เป็นที่น่าสลดเศร้าเสียใจ กับการจากไปอันเนื่องมาจากการลอบสังหารนายชินโซ อาเบะ ในระหว่างการปราศรัยที่จังหวัดนารา ในวันศุกร์ที่ 8 กรกฎาคม ที่ผ่านมา

แต่ที่ช็อคโลกยิ่งกว่า คือ “แรงจูงใจ” ในการลอบสังหาร

เป็นเพราะ ผู้สังหาร “เชื่อข่าวปลอม” ว่า นายอาเบะ เป็นสมาชิกระดับสูงของ “ลัทธิโทอิตสึเคียวไค” หรือ “สหพันธ์ครอบครัวเพื่อความสามัคคีและสันติภาพโลก” ซึ่งมีชื่อเรียกโดยย่อว่า “โบสถ์แห่งความสามัคคี” (มีสาขาในประเทศไทย และอีกหลายประเทศทั่วโลก)

นับว่าเป็นเรื่องที่น่าเสียใจ และน่าเสียดายที่โลกต้องสูญเสียบุคคลสำคัญไปด้วยเหตุเช่นนี้

นี่เป็นเรื่องที่ดูจะย้อนแย้งอย่างรุนแรง กับข้อมูลทางสถิติประชากรญี่ปุ่น ที่มีประชากรถึง 86% ระบุว่าไม่นับถือศาสนาใด ๆ เลย

แต่ในสังคมญี่ปุ่น กลับเต็มไปด้วยลัทธิที่แปลกประหลาดมากมาย

แม้แต่คนดังอย่าง “โทชิมิตสึ เดยามะ” หรือ  “โทชิ” นักร้องนำวง “X Japan” ที่โด่งดัง ก็เคยตกเป็นทาสของลัทธินอกรีตนี้ด้วยเช่นกัน

ที่แย่ที่สุดคือ ลัทธิโอมชินริเกียว ที่ลัทธินี้มีความสามารถรวบรวมนักวิทยาศาตร์และวิศวกรมาสร้างโรงงานผลิตก๊าซพิษ “ซาริน” เพื่อนำมาใช้ในการก่อวินาศกรรมในโตเกียว จนมีผู้เสียชีวิต 13 คน และบาดเจ็บถึง 6,000 คน

ลัทธิ  องค์กรทางศาสนาเหล่านี้ เกิดขึ้นในสังคมญี่ปุ่นได้อย่างไรกัน ?

ศาสนาดั้งเดิมของญี่ปุ่น เป็นศาสนาประจำถิ่น คือลัทธิชินโต ซึ่งลัทธิชินโตนี้ ผูกพันคู่ประวัติศาสตร์มายาวนาน และเกี่ยวเนื่องกับสถาบันพระจักรพรรดิญี่ปุ่นมานับแต่ยุคปรัมปรา

ลักษณะของลัทธิชินโต มีความคล้ายคลึงกับศาสนา ความเชื่อเรื่องทวยเทพยุคโบราณ และมีเทพเจ้าหลายองค์

แต่สิ่งที่ตำนานเทพปกรณัมของญี่ปุ่น แตกต่างจากของชาติอื่นก็คือ มีเพียงชินโตเท่านั้นที่ผูกโยงว่า “สมเด็จพระจักรพรรดิ” คือผู้สืบเชื้อสายมาจากเทพีอามาเทราสึ เทพีแห่งพระอาทิตย์ จึงนับเป็นศาสนาโบราณศาสนาเดียวที่ผูกโยงเทพเจ้าเข้ากับการปกครอง

ด้วยการผูกโยงศาสนาความเชื่อเข้ากับการปกครองนี้เอง จึงทำให้อิทธิพลของสมเด็จพระจักรพรรดิญี่ปุ่น หยั่งรากฝังลึกลงในความเชื่อของชาวญี่ปุ่นนั่นเอง

และด้วยความที่สมเด็จพระจักรพรรดิ สูญเสียอำนาจการปกครองประเทศ คงเหลือไว้เพียงสถานภาพความเป็นเทพ และสัญลักษณ์ในฐานะประมุขของประเทศมานับตั้งแต่ยุคเฮฮัน (ค.ศ. 794)

มิได้ทรงอยู่ในสถานะความขัดแย้งแย่งชิงพระราชอำนาจมาจนกระทั่งยุคเมจิ (ค.ศ.1868) ซึ่งฝ่ายต่อต้านรัฐบาลโชกุนโตกุกาวา ชูธง “ถวายพระราชอำนาจคืนแด่สมเด็จพระจักรพรรดิ” สามารถโค่นล้มรัฐบาลโชกุนได้สำเร็จ

ลัทธิชินโต จึงได้รับการปฏิรูปใหม่เรียก “รัฐชินโต” (国家神道, โค๊คคะ ชินโต) ซึ่งรัฐชินโตนี้เพิ่มเติมการจัดระเบียบ เพื่อการควบคุมดูแลโดยรัฐ ซึ่งลัทธิชินโตดั้งเดิมไม่มี และกลายเป็นช่องว่างให้ถูกศาสนาอื่นเช่น พุทธ และคริสต์ ที่เป็นระบบมากกว่าเข้าแทรกแซง และครอบงำในภายหลัง

หลังพ่ายแพ้สงครามโลกครั้งที่ 2 ใน ค.ศ. 1945 อเมริกาเข้าครอบครองญี่ปุ่น โดยมีเป้าหมายหลักคือการปลดอาวุธญี่ปุ่น และทำให้ญี่ปุ่นกลายเป็นประเทศประชาธิปไตยตามอย่างตะวันตก

อเมริกาพบว่า ญี่ปุ่นที่มีสมเด็จพระจักรพรรดิ สามารถปกครองได้ง่ายกว่าญี่ปุ่นที่ไม่มีสมเด็จพระจักรพรรดิ จึงมีการเจรจาเงื่อนไขกันระหว่างพลเอกอาวุโส ดักลาส แม็กอาเธอร์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุดทหารสัมพันธมิตร (Supreme Commander of Allied Power, SCAP) กับสมเด็จพระจักรพรรดิฮิโรฮิโตะ

ซึ่งผลสรุปคือ สมเด็จพระจักรพรรดิจะยังคงสถานะและราชสมบัติได้ดั่งเดิม และได้รับการละเว้นจากการกล่าวโทษในคดีอาชญากรรมสงคราม แต่พระองค์จะต้องทรงสละพระราชอำนาจทางการเมือง และสถานะเทพเจ้าในลัทธิชินโต

ซึ่งนี่คือที่มาของคำประกาศลงในหนังสือพิมพ์ฉบับวันที่ 1 มกราคม 1946 ซึ่งองค์สมเด็จพระจักรพรรดิประกาศว่าพระองค์ไม่ใช่เทพเจ้าอีกต่อไป และจากนี้ไป ทุกคนจะสามารถวิจารณ์พระองค์ได้

กรุงโตเกียวในเวลานั้น เต็มไปด้วยซากปรักหักพังจากการทิ้งระเบิดทำลายของอเมริกาในช่วงสงคราม สูญสิ้นศักยภาพในการผลิต อีกทั้งญี่ปุ่นก่อนพ่ายสงคราม เคยอยู่ได้ด้วยการพึ่งพาการนำเข้าอาหารจากรัฐในอารักขา

แต่ญี่ปุ่นในวันนี้นั้น จะมีอาหารกินประทังชีวิตได้หรือไม่ อยู่ที่ความเมตตาจากอเมริกันเท่านั้น

ทหารอเมริกา ยึดครองพื้นที่ลานหน้าพระราชวังจักรพรรดิ ต่างสวนหย่อมสำหรับพักผ่อนรื่นเริง ในขณะที่ประชาชนชาวญี่ปุ่น เจ้าของแผ่นดิน ไม่มีสิทธิแม้จะยืนมอง

ชาวญี่ปุ่นในเวลานั้น อยู่ในภาวะหิวโหย และสิ้นหวัง

คำประกาศสละสถานะเทพเจ้าของสมเด็จพระจักรพรรดิ ซึ่งเป็นความเชื่อและชุดความคิดที่ฝังรากในจิตใจชาวญี่ปุ่นมานับพันปี ก็ไม่ได้ต่างอะไรกับ ฟ้าที่ผ่าลงกลางใจชาวญี่ปุ่นทั้งปวง

สารคดี “Tokyo post-World War 2 (Tokyo Black Hole)” ของ NHK รายงานว่า มีลัทธิใหม่เกิดขึ้นทันทีหลังการประกาศของพระองค์ถึง 600 องค์กร

ที่ร้ายไปกว่านั้นคือ ในวันที่ 14 พฤษภาคม ค.ศ. 1946 ประชาชนผู้หิวโหยมาชุมนุมหน้าพระราชวัง

น่าแปลกที่หน้าพระราชวัง ปกติจะมีทหารอเมริกันคอยกีดกันไม่ให้ชาวญี่ปุ่นเข้าถึงกลับเปิดโล่งจนมีฝูงชนบุกเข้าไปในโรงอาหารของสำนักพระราชวัง

ในโรงอาหารมีข้าวสารสามถังวางทิ้งเอาไว้ในโรงอาหาร

ข้าวสารที่ควรจะถูกทหารอเมริกันเก็บรักษา ทำไมถึงถูกนำมาวางไว้ที่นั่นกัน ?

ข่าวหนังสือพิมพ์ในวันถัด ๆ มา ตีพิมพ์ถึงเมนูอาหารในราชสำนัก ซึ่งมีทั้งเนื้อวัว และซาชิมิ เหมือนจะแกล้งบอกให้ประชาชนผู้หิวโหยเห็นว่า สมเด็จพระจักรพรรดิทรงอยู่ดีกินดี

ช่างแยบคายยิ่งนัก

สำหรับประชาชนคนทั่วไป ทุกคนล้วนต้องการที่ยึดเหนี่ยวจิตใจทั้งสิ้น

การพรากสถานะเทพเจ้าไปจากองค์สมเด็จพระจักรพรรดิ คือการพรากเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจของชาวญี่ปุ่นในเวลานั้น ไปจากใจของพวกเขา

จึงไม่น่าแปลกใจอะไร ที่ลัทธิใหม่ ๆ นับร้อยจะเกิดขึ้นมาในเวลานั้นอย่างรวดเร็ว และหลักการของแต่ละลัทธิก็คล้าย ๆ กันคือ “การทำตัวให้เป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจแห่งใหม่ให้แก่เหล่าลูกแกะผู้หลงทาง”

การปรับเปลี่ยนสถานะของสถาบันหลักของประเทศ ด้วยการใช้กำลังปรับเปลี่ยนอย่างกะทันหัน โดยไม่ผ่านกระบวนการเปลี่ยนถ่ายอย่างประนีประนอม ค่อยเป็นค่อยไปนั้น สร้างปัญหาเสมอ

กรณีการเปลี่ยนสถานะของสมเด็จพระจักรพรรดิญี่ปุ่นอย่างกะทันหันของอเมริกา แสดงให้เห็นถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อสังคมญี่ปุ่น และสร้างปัญหาให้สังคมญี่ปุ่นอย่างต่อเนื่องมาจนปัจจุบัน

จริงอยู่ว่า “โบสถ์แห่งความสามัคคี” นั้นมาจากเกาหลีใต้ และเป็นผลสืบเนื่องมาจาก “ขบวนการทางศาสนาใหม่” (New Religious Movement) แต่นี่คือปัจจัยซ้ำเติมสังคมญี่ปุ่นที่อ่อนไหวด้านศาสนาอยู่ก่อนแล้ว

ประชาชนชาวไทยของเรา ยังโชคดีที่สถาบันศาสนาของเรายังแข็งแรงดีอยู่ ประชาชนชาวไทยจึงมีภูมิคุ้มกันทางศาสนาที่ดี

เรื่องนี้ถือเป็นบทเรียนทางประวัติศาสตร์ที่ควรแก่การนำมาศึกษา

ถึงการทำลายสิ่งเก่า เพื่อสร้างสิ่งใหม่ โดยไร้การประนีประนอม ใช้อำนาจบีบบังคับแต่ฝ่ายเดียว โดยไม่คำนึงถึงผลกระทบที่จะตามมาให้ถ้วนถี่

สุดท้ายแล้ว ผลลัพธ์ของการกระทำเช่นนี้คือ การสร้างปัญหาใหม่ที่ร้ายแรงกว่าเดิมให้แก่สังคมนั่นเอง

อ้างอิง :

[1] Police have theory about what motivated Shinzo Abe murder suspect
[2] Japan Struggles to Understand the Abe Assassination
[3] ลัทธิชั่วร้ายกับสองครอบครัวที่หัวใจสลาย
[4] แม่ผู้ต้องสงสัยยิงอาเบะเป็นสาวกลัทธิมูนิซึ่ม
[5] ลัทธิญี่ปุ่น ยอมรับแม่มือสังหารอาเบะ เป็นสาวก
[6] โบสถ์แห่งความสามัคคี
[7] แฟนเพจ มูลนิธิสหพันธ์ครอบครัวเพื่อความสามัคคีและสันติภาพโลก-ประเทศไทย
[8] Most Atheist Countries 2022
[9] Translation Toshi “Brainwash ~Comeback from 12 Years of Hell~”
[10] Toshl: Author, “Brainwashed: My Comeback from 12 Years of Hell”
[11] 10 ปีแห่งความเจ็บปวด “โทชิ X-Japan” เผยภรรยานอกใจ, ยักยอกเงิน, ชักนำเข้าลัทธิ
[12] 20 มี.ค 1995 : โอมชินริเกียว ถล่มรถไฟใต้ดินญี่ปุ่นด้วย “ก๊าซซาริน” โกลาหลทั่วโตเกียว!
[13] State Shinto
[14] How Japanese People Came to Hate Religions
[15] Why Do Japanese Insist on Calling Themselves Non-religious?
[16] [Documentary] Tokyo post-World War 2 (Tokyo Black Hole) 東京ブラックホール
[17] Occupation of Japan
[18] What Happened to Japan after WW2? (How’d It Happen? History)
[19] Demographics of Japan
[20] “Japanese New Religions in Global Perspective”, Clarke, Peter B. (2013) Routledge, ISBN 9781136828652.
[21] New religious movement

TOP
y

Emet nisl suscipit adipiscing bibendum. Amet cursus sit amet dictum. Vel risus commodo viverra maecenas.

r

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    คุกกี้ที่มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้งานเว็บไซต์ได้อย่างเป็นปกติ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณ เพื่อให้เราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมและความสนใจของคุณ

บันทึกการตั้งค่า