ตีแผ่คำบิดเบือนของ The King Never Smiles กล่าวหารัชกาลที่ 3 คือพระเจ้าแผ่นดินคั่นบัลลังก์

จากการตีแผ่หนังสือ The King Never Smiles ของ Paul Handly ในหลายๆ บทความที่ผ่านมา ในครั้งนี้ ทีมงาน ฤา ได้ตรวจสอบข้อมูลของหนังสือเล่มนี้เพิ่มเติม พบว่า มีการบิดเบือนความถูกต้องจากการอ้างอิงเอกสารชั้นต้นจนนำมาซึ่งบทสรุปที่คลาดเคลื่อน ส่งผลต่อการรับรู้ประวัติศาสตร์อย่างมีนัยยะสำคัญ

การบิดเบือนในจุดนี้ของหนังสือ The King Never Smiles คือ การพยายามชี้นำให้เกิดความเข้าว่า ในหลวง ร.3 ไม่ใช่สายเลือดจักรีบริสุทธิ์

โดยในบทที่ 2 From Pure Blood to Dynastic Failure หน้า 30 จุดอ้างอิงที่ 5 Chula Chakrabongse, Lords of Life (London: Alvin Redman, 1960) หน้า 145-147 มีการระบุว่า …

“… ราชสำนักปัจจุบันถือว่ารัชสมัยของในหลวงรัชกาลที่ 3 เป็นช่วงระหว่างรัชกาลที่ไม่ใช่จักรี … ทุกวันนี้ ในหลวงรัชกาลที่ 3 ถูกนำเสนอในฐานะคนนั่งบัลลังก์คั่นเวลาสำหรับในหลวงรัชกาลที่ 4 เท่านั้น …”

“As for Rama III’s record, the modern palace treats the reign as a non-Chakri interregnum. He is never called a usurper, but palace figures claim he never wore his crown, or took a formal queen, or designated his children chaofa, supposedly out of respect for genuine Chakri lineage. Ignoring his efforts to perpetuate his own line, today Rama III is portrayed as simply a virtuous throne-warmer for Mongkut’s eventual accession.

เมื่อทีมงาน ฤา ย้อนกลับไปตรวจสอบเอกสารชั้นต้น คือหนังสือ “เจ้าชีวิต : สยามก่อนยุคประชาธิปไตย” (Lords of Life) ที่เขียนโดยพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ กลับพบว่า ในส่วนของพระราชประวัติของในหลวง ร.3 มีการกล่าวไว้ดังนี้ …

“… ทั้งนี้เพราะเขา (ฝรั่งตะวันตก) มักเข้าใจผิดว่าเพราะกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ (รัชกาลที่ 3) เป็นพระโอรสของเจ้าจอมมารดา ท่านจึงเป็นโอรสนอกกฎหมาย … จริงอยู่ที่ในรัชกาลของพระราชบิดา (รัชกาลที่ 2) เจ้าฟ้ามงกุฎ (รัชกาลที่ 4) ได้รับพระราชทานเกียรติต่างๆ อย่างสูงยิ่งเหนือพระราชโอรสพระองค์อื่นๆ ถึงกระนั้นพระพุทธเลิศหล้าก็ไม่เคยเลยที่จะแสดงว่าราชสมบัติจะต้องตกแก่พระราชโอรสผู้ทรงเป็นเจ้าฟ้าหัวปี …

ที่จริงสิทธิอันมั่นคงจริงๆ ก็คือได้รับมอบราชสมบัติจากพระเจ้าแผ่นดินที่จวนจะสวรรคตและที่ประชุมสนับสนุน นับตั้งแต่สมเด็จพระอนุชาธิราชสวรรคตในปี พ.ศ. 2360 ไม่มีเจ้านายพระองค์ใดได้รับตำแหน่งกรมพระราชวังบวรฯ แทน (ตำแหน่งองค์รัชทายาทผู้มีสิทธิ์ที่จะขึ้นครองราชสมบัติต่อไป) และเพราะรัชกาลที่ 2 ทรงมึนอยู่ไม่ได้สติ (ขณะประชวร) จึงมิได้ทรงมอบราชสมบัติแก่ผู้ใด ฉะนั้น ตามหลักการแล้ว จะต้องนับว่าราชบัลลังก์ว่างเปล่าอยู่ ไม่มีเจ้านายพระองค์ใดทรงมีสิทธิแน่นแฟ้นกว่าพระองค์อื่น แต่แน่ละ ย่อมมีผู้นิยมพระองค์นั้นพระองค์นี้มากกว่าพระองค์อื่นๆ การแก้ปัญหาอยู่ในมือของที่ประชุมซึ่งได้อัญเชิญกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ขึ้นครองราชย์ โดยไม่มีผู้ใดคัดค้านเลย ฉะนั้น การที่จะกล่าวว่ารัชกาลที่ 3 ทรงแย่งราชสมบัติจากเจ้าฟ้ามงกุฎนั้น ไม่มีหลักฐานเป็นทางการแต่แต่ประการใด

จะเห็นได้ว่าในหนังสือ “เจ้าชีวิต : สยามก่อนยุคประชาธิปไตย” ไม่มีส่วนไหนที่พูดถึงในหลวง ร.3 ว่าทรงเป็นกษัตริย์ที่ไม่ใช่สายเลือดจักรีวงศ์เลย และทางราชสำนักต่างก็สนับสนุนพระองค์อย่างเต็มที่ในการขึ้นครองราชย์

นอกจากนั้น หนังสือ “เจ้าชีวิต : สยามก่อนยุคประชาธิปไตย” ยังระบุต่อไปด้วยว่า …

“… สมเด็จกรมพระยาดำรงฯ ทรงเล่าเรื่องที่เขาถือกันว่าจริง คือข้อที่ว่ารัชกาลที่ 3 มิได้ทรงพระมหามงกุฎเลยตลอดรัชกาล ผู้เขียน (พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์) ได้ฟังเรื่องมาจากทูลกระหม่อมพ่อ (เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ) ว่าพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวตรัสให้พระองค์ท่านฟังว่า ขณะที่พราหมณ์ราชครูถวายพระมหามงกุฎแด่พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 3 เมื่อทรงรับมาแล้วก็มิได้ทรง แต่พระราชทานไปยังจางวางมหาดเล็กผู้ใหญ่ พลางตรัสว่า ‘จงเก็บไว้ให้เขา’ ซึ่งน่าจะทรงหมายถึงสมเด็จเจ้าฟ้ามงกุฎ (รัชกาลที่ 4) …”

จากที่ทีมงาน ฤา ได้ชำระเอกสารชั้นต้นแล้วพบว่า plot เรื่องที่ The King Never Smiles นำเสนอเกี่ยวกับในหลวง ร.3 นั้น ไม่ถูกต้อง หากจะกล่าวอย่างชั่วช้าก็คงไม่พ้นคำว่า “บิดเบือนความหมาย” หรือหากจะกล่าวให้เบามือลง ก็อาจจะเป็นไปได้ว่าเป็นเพียง “การตีความประวัติศาสตร์เกินไปกว่าเอกสาร” ซึ่งไม่ว่าจะอย่างไร ทั้ง 2 กรณีนั้น ต่างก็ลดความน่าเชื่อถือของ The King Never Smiles อยู่ในตัวนั่นเอง

ข้อสังเกตจากทีมงาน ฤา เกี่ยวกับการบิดเบือนของ The King Never Smiles คือ

  1. “the modern palace treats the reign as a non-Chakri interregnum” ในประโยคนี้ Paul Handly ต้องการจะบอกว่า พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ ในฐานะที่เขียนหนังสือ “เจ้าชีวิต : สยามก่อนยุคประชาธิปไตย” เป็นตัวแทนของ the modern palace ใช่หรือไม่ ? ซึ่งทีมงาน ฤา เห็นว่า “ไม่ใช่” และนี่คือการเขียนงานประวัติศาสตร์ที่ผิดพลาด บิดเบือน และไร้ความรับผิดชอบของ Paul Handly อย่างชัดเจน
  2. ประโยคของ Paul Handley ที่ว่า “palace figures claim he never wore his crown” เป็นการสื่อความหมายว่า “คนในราชสำนักอ้างว่า พระองค์ไม่เคยครองราชย์” เพราะมีการขยายความด้วยประโยคที่ว่า “or took a formal queen, or designated his children chaofa” (ไม่เคยมีการแต่งตั้งพระมหาสีหรือแต่งตั้งลูกเป็นเจ้าฟ้า) ซึ่งแตกต่างไปจากข้อเท็จจริงในหนังสือของพระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ที่ว่า “รัชกาลที่ 3 มิได้ทรงพระมหามงกุฎเลยตลอดรัชกาล” แน่นอนว่าประโยค “ไม่เคยครองราชย์” กับ “ไม่สวมพระมหามงกุฎ” ย่อมมีความหมายต่างกัน ดังนั้น การนำเสนอของ Paul Handley จึงเป็นการบิดเบือนความหมายให้ผิดเพี้ยนไป
  3. จากประโยคที่ว่า “today Rama III is portrayed as simply a virtuous throne-warmer for Mongkut’s eventual accession.” Paul Handley สรุปพระราชฐานะของในหลวงรัชกาลที่ 3 จากการตีความที่บิดเบือนของตนเองว่า “ทุกวันนี้ ในหลวงรัชกาลที่ 3 ถูกนำเสนอในฐานะคนนั่งบัลลังก์คั่นเวลาสำหรับในหลวงรัชกาลที่ 4 เท่านั้น

ผลจากการตีความประวัติศาสตร์เกินหลักฐาน หรือตีความโดยอาศัยความคิดเห็นของผู้เขียน โดยที่เอกสารชั้นต้นไม่ได้กล่าวถึง ของหนังสือ The King Never Smiles ส่งผลให้ผู้อ่านรับรู้ข้อมูลที่คลาดเคลื่อน เป็นการชี้นำให้เกิดความเชื่อว่า ราชสำนักถือว่าในหลวง ร.3 ไม่ทรงมีความสำคัญ เพราะไม่ใช่เชื้อสายแห่งราชวงศ์จักรีบริสุทธิ์

สิ่งเหล่านี้ยิ่งส่งผลให้ผู้อ่านเกิดภาพจำว่า ราชสำนักมีการยึดถือโบราณราชประเพณีที่เคร่งครัด ไม่ยอมรับการเปลี่ยนแปลง ไม่ยอมปรับตัวไปตามสถานการณ์ของโลกภายนอก ทั้งๆ ที่ความเป็นจริงแล้ว แม้ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นเอง การที่พระมหากษัตริย์จะทรงขึ้นครองราชย์รับราชสมบัติ ปัจจัยหลักปัจจัยหนึ่งนั้นมาจากการสนับสนุนของขุนนางชั้นผู้ใหญ่ในที่ประชุมด้วย

เป็นที่น่าสังเกตว่า The King Never Smiles มีการเน้นย้ำถ้อยคำว่า “เลือดจักรีบริสุทธิ์” “สมมติเทพ” “ความศักดิ์สิทธิ์” ฯลฯ อย่างสม่ำเสมอตลอดทั้งเล่ม สิ่งเหล่านี้ เมื่อประกอบเข้ากับการตีความเกินหลักฐานของ Paul Handly แล้ว ยิ่งทำให้ The King Never Smiles ขาดความน่าเชื่อถือและขาดความแม่นยำในทางวิชาการลงไปทุกที

หนังสือ The King Never Smiles ยังคงมีปัญหาอีกมากในการใช้หลักฐานอ้างอิง และการใส่ความคิดเห็นของผู้เขียนลงไป จนกลายเป็นการบิดเบือนข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ ซึ่งทีมงาน ฤา จะทยอยนำมาเล่าสู่กันฟังในครั้งต่อไป โปรดติดตาม…

ที่มา :

[1] Paul M. Handley, The King Never Smiles page 30
[2] Chula Chakrabongse, Lords of Life (London: Alvin Redman, 1960) page 145-147

TOP
y

Emet nisl suscipit adipiscing bibendum. Amet cursus sit amet dictum. Vel risus commodo viverra maecenas.

r

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    คุกกี้ที่มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้งานเว็บไซต์ได้อย่างเป็นปกติ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณ เพื่อให้เราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมและความสนใจของคุณ

บันทึกการตั้งค่า