“คำสั่งโบว์ดำ” ของรัฐบาลปรีดี พนมยงค์ เครื่องมือปิดปากประชาชนเรื่องคดีสวรรคต

ภายหลังการสวรรคตอย่างปริศนาของในหลวงรัชกาลที่ 8 เมื่อเช้าวันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2489 และด้วยพฤติกรรมของรัฐบาลปรีดี พนมยงค์ ที่ไม่ค่อยกระตือรือร้นในการเร่งรัดจัดทำรูปคดี ทำให้ประชาชนคนไทยในเวลานั้นต่างโกรธแค้นและหมดความเชื่อมั่นในรัฐบาลเป็นอย่างมาก

เมื่อกระบวนการในการแถลงการณ์เรื่องสวรรคตไม่กระจ่างชัด ทำให้มีการพูดการลือกันไปต่างๆ นานาว่า บุคคลนั้นเป็นผู้กระทำบ้าง บุคคลนี้อยู่เบื้องหลังบ้าง ซึ่งขัดแย้งกับแถลงการณ์ที่รัฐบาลจัดทำขึ้นผ่านประกาศสำนักพระราชวังในค่ำวันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2489 โดยระบุจากคำให้การของนายชิต สิงหเสนี มหาดเล็กที่อยู่ใกล้ชิดในเหตุการณ์ที่สุดว่า “ในหลวงยิงพระองค์เอง” โดยนายชิตยืนยันหนักแน่นว่า เขาเห็นด้วยตาและได้ยินด้วยหูของเขาเองถึงเหตุการณ์ที่ในหลวงรัชกาลที่ 8 ยิงพระองค์เอง

เมื่อมหาดเล็ก (ที่ไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรลึกซึ้งกับราชสกุลมหิดลเลย) ยืนยันเช่นนี้ ทำให้รัฐบาลและพระบรมวงศานุวงศ์เชื่อตามคำอ้างของเขา และแถลงการณ์ไปดังที่นายชิตยืนยันว่าเป็น “อุบัติเหตุปืนลั่นใส่พระองค์” (แต่ต่อมานายชิตกลับปฏิเสธในภายหลัง ว่าไม่ได้เห็นในหลวงยิงพระองค์เอง)

การลือไปต่างๆ นานานี้ เกิดขึ้นจากการตรวจพระบรมศพซ้ำในวันที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2489 โดยคณะแพทย์จุฬาได้พบรอยทะลุของกระสุนบริเวณท้ายทอยของพระบรมศพ ทำให้แพทย์ลงความเห็นกันว่าไม่น่าใช่ “อุบัติเหตุปืนลั่น” แต่น่าจะเป็น “การลอบปลงพระชนม์” เสียมากกว่า เมื่อข่าวนี้แพร่ออกไป หนังสือพิมพ์และชาวบ้านต่างก็พูดกันหนาหูขึ้น ทำให้ความนิยมในตัวรัฐบาลซึ่งกำลังจะมีการเลือกตั้งใหม่ตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2489 ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าตกต่ำลงอย่างมาก

ทั้งนี้ นายแพทย์สรรใจ แสงวิเชียร ลูกชายของนายแพทย์สุด แสงวิเชียร ผู้ที่เกี่ยวข้องกับการพิสูจน์พระบรมศพโดยตรง ได้เล่าไว้ทำนองว่า …

“การลือของบรรดาแพทย์จุฬาดังกล่าวทำให้นายปรีดีโกรธอย่างมาก นายปรีดีกำลังมองว่าแพทย์กำลังเล่นการเมือง”

โดยในขณะนั้นความนิยมของรัฐบาลปรีดีฯ ถึงขั้นเลวทรามลงมาก ประชาชนต่างหมดความเชื่อมั่นและไม่ไว้ใจ เพราะเห็นว่าตั้งแต่วันเกิดเหตุอันน่าสลดกับประมุขของชาติ ปรีดีฯ ในฐานะนายกรัฐมนตรีได้ไปถึงที่เกิดเหตุล่าช้ามาก รวมทั้งบรรดาผู้ใหญ่ในรัฐบาลบางคนด้วย ทั้งที่หนังสือพิมพ์บางฉบับได้ออกข่าวถึงการสิ้นพระชนม์ของในหลวงรัชกาล 8 ไปแล้วตั้งแต่ช่วงเช้าว่าเป็นเพราะกระสุนปืน แต่กว่าแถลงการณ์ของทางการจะออกมายืนยันก็เกือบช่วงค่ำ

ด้วยการทำงานอย่างไม่กระตือรือร้นนี้ ทำให้คะแนนนิยมในตัวปรีดีฯ ลดฮวบหายไป และกลับกลายเป็นความเกลียดชังขึ้นมาแทนที่ ซึ่งทำให้ฝ่ายการเมืองฝั่งตรงข้ามเอาเรื่องนี้ไปเป็นเครื่องมือทางการเมืองเพื่อทำลายชื่อเสียงของปรีดีฯ ด้วยการจ้างคนไปตะโกนในโรงหนังใส่ร้ายปรีดีฯ ว่าเป็นผู้ปลงพระชนม์ในหลวง ทำให้สถานการณ์ในเวลานั้น นับว่าเป็นจุดตกต่ำอย่างมากสำหรับปรีดี พนมยงค์

แต่นายกรัฐมนตรีผู้เป็นมันสมองของคณะราษฎรก็ได้ “งัด” เอาไม้เด็ด ซึ่งก็คือ “กฎหมาย” ที่เขาถนัดมาใช้เล่นงานขั้วการเมืองฝั่งตรงข้ามและประชาชนบางกลุ่มกลับคืนบ้าง

รัฐบาลปรีดีฯ เริ่มทำการ “เซนเซอร์” สื่อหนังสือพิมพ์ต่างๆ โดยหากพบเจอว่าฉบับใดมีการวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของรัฐบาลเกี่ยวกับการดำเนินคดีสวรรคต ก็จะโดนเล่นงานด้วย “มาตรา 104” ซึ่งถือเป็นความผิดฐานกบฏ

จากการบีบคั้นต่างๆ นานาของรัฐบาลในประเด็นสวรรคต ทำให้เวลานั้นแม้แต่อธิบดีตำรวจถึงกับต้องขอลาออก และการแก้เผ็ดของรัฐบาลปรีดีฯ นั้นรุนแรงมากถึงขั้นมีการปาระเบิดใส่ฝ่ายตรงข้ามขณะที่กำลังหาเสียงเลือกตั้งในช่วงเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2489 จนทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บขาขาด 1 ข้าง คือนายไถง สุวรรณทัต สังกัดพรรคประชาธิปัตย์

แต่สิ่งที่ผู้คนโจษจันกันมากที่สุดในฐานะ “เครื่องมือปิดปาก” ของรัฐบาลปรีดีฯ ได้แก่ “คำสั่งกระทรวงมหาดไทย ด่วนมาก ที่ 207/2489 เรื่อง ให้ประชุมกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน เพื่อชี้แจงราษฎรมิให้หลงเชื่อคำโฆษณาหลอกลวงของบุคคลบางจำพวก ลงวันที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2489” หรือที่เรียกกันว่า “คำสั่งโบว์ดำ” ซึ่งเป็นเครื่องมือที่รัฐบาลปรีดีฯ ใช้ในการปิดปากฝ่ายตรงข้ามในการหาเสียงเลือกตั้งโดยตรง โดยเฉพาะพรรคประชาธิปัตย์

และมีเรื่องน่าสนใจว่า ประกาศสำคัญขนาดนี้ แทนที่รัฐมนตรีมหาดไทยในขณะนั้นจะเป็นผู้ลงชื่อในประกาศ แต่กลับ “โยน” ให้พันเอก ทวน วิชัยขัทคะ ซึ่งดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วย “กลาโหม” ลงนามแทน “มหาดไทย” หนังสือราชการฉบับนี้จึงเป็นสิ่งที่ประหลาดที่สุดในบรรดาเอกสารราชการไทยนับตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เพราะไม่มีที่ไหนในโลกที่จะลงนามข้ามกระทรวงทบวงกรมกันได้เช่นนี้

สำหรับเนื้อหาในประกาศนั้นเต็มไปด้วยการแก้ตัวต่างๆ ของรัฐบาล และการ “โบ้ย” ว่าบรรดาข่าวลือที่เกิดขึ้น เป็นแผนการของพรรคประชาธิปัตย์ในการหาเสียงแทบทั้งสิ้น ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ว ข่าวลือหรือการแสดงความเห็นในกรณีสวรรคตนี้ ไม่ได้ที่มีมาจากพรรคการเมืองเพียงอย่างเดียว แต่ยังมาจากประชาชนทุกหมู่เหล่าที่ล้วนเสื่อมศรัทธาในรัฐบาลทั้งสิ้น

การออก “คำสั่งโบว์ดำ” ทำให้พรรคประชาธิปัตย์ไม่พอใจเป็นอย่างมาก แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้ภายใต้การบีบคั้นและโจมตีจากรัฐบาลนายปรีดีฯ ดังตัวอย่างที่นายไถง สุวรรณทัต ต้องสังเวยขา 1 ข้างให้แก่ลูกระเบิดปริศนา นี่ยังไม่นับรวมนักหนังสือพิมพ์นามอุโฆษท่านหนึ่งที่โดน “เก๋งดำ” (กล่าวกันภายหลังว่าคือตำรวจสันติบาล) ยิงถล่มเสียชีวิตอย่างอนาถที่ถนนเพชรบุรีในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน

ทั้งหมดนี้คือเครื่องมือที่รัฐบาลนายปรีดี พนมยงค์ ใช้ในการปิดปากประชาชนเกี่ยวกับเรื่องคดีสวรรคต ในช่วงที่เรียกได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นของ “ยุคทมิฬ” แห่งประวัติศาสตร์การเมืองไทย ยุคที่เสรีภาพของประชาชนถูกกดทับไว้ด้วยอำนาจเผด็จการอย่างแท้จริง

อ้างอิง :

[1] สรรใจ แสงวิเชียร และ วิมลพรรณ ปีตธวัชชัย. กรณีสวรรคต 9 มิถุนายน 2489. (กรุงเทพ : 2517).
[2] “เกียรติ” (นามปากกา). เรื่องของนายควง. (กรุงเทพ : 2513) สำนักพิมพ์พินิจประชา.
[3] คำสั่งกระทรวงมหาดไทย ด่วนมาก ที่ 207/2489 เรื่อง ให้ประชุมกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน เพื่อชี้แจงราษฎรมิให้หลงเชื่อคำโฆษณาหลอกลวงของบุคคลบางจำพวก ลงวันที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2489.

TOP
y

Emet nisl suscipit adipiscing bibendum. Amet cursus sit amet dictum. Vel risus commodo viverra maecenas.

r

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    คุกกี้ที่มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้งานเว็บไซต์ได้อย่างเป็นปกติ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณ เพื่อให้เราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมและความสนใจของคุณ

บันทึกการตั้งค่า