เงื่อนไขความเปลี่ยนแปลงในสมัยรัชกาลที่ 5 และปัจจัยที่ทำให้เกิดการก่อกบฏหัวเมือง
รัชสมัยของรัชกาลที่ 5 คือยุคสมัยแห่งความเปลี่ยนแปลงของประเทศไทย จากยุคโบราณไปสู่ยุคสมัยใหม่ และตรงกับการสิ้นสุดของคริสต์ศตวรรษที่ 19 และการเริ่มต้นของคริสต์ศตวรรษที่ 20 พอดี
โลกในคริสต์ศตวรรษที่ 20 เกิดการเปลี่ยนแปลงและการปฏิวัติหลายเหตุการณ์ ในหลายที่บนโลก อันเนื่องมาจากการปฏิวัติอุตสาหกรรม, การพัฒนาเทคโนโลยีการคมนาคมและการสื่อสาร และแนวคิดเสรีนิยม
ซึ่งการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ ล้วนหลั่งไหลเข้าสู่ประเทศไทยด้วยเช่นกัน
พระบรมราโชบายของรัชกาลที่ 4 ทั้งพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวนั้น ล้วนแต่เปิดรับองค์ความรู้จากชาติตะวันตกทั้งสิ้น
พระองค์หนี่ง ทรงปรีชาสามารถในด้านวิทยาศาสตร์ สามารถคำนวณการเกิดสุริยุปราคาได้อย่างถูกต้องแม่นยำ และอีกพระองค์หนึ่ง ทรงปรีชาสามารถทางด้านวิศวกรรม สามารถต่อเรือรบได้ด้วยพระองค์เอง
ยุคสมัยในรัชกาลนี้ คือยุคสมัยแห่งการปรับพื้นฐานราชสำนักสยาม ให้มีความพร้อมที่จะรับมือกับกระแสโลกาภิวัตน์แห่งศตวรรษที่ 20 ได้อย่างเป็นดี
—
ประเทศไทย ยุคก่อนรัชกาลที่ 5 พระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ที่ดูเหมือนจะยิ่งใหญ่และล้นหลามนั้น แท้ที่จริงแล้ว ถูกจำกัดเอาไว้เพียงแค่ในเมืองหลวง แผ่ขยายอำนาจออกไปเป็นวงกลม และไม่มีการกำหนดเขตแดนที่แน่นอน
นี่คือลักษณะการปกครองแบบ “มณฑล” (Mandala) ซึ่งเป็นรูปแบบการปกครองที่ใช้กันโดยทั่วไปในภูมิภาคอุษาคเนย์
ระยะรัศมีของวงกลมของอำนาจการปกครอง ขึ้นอยู่กับความสามารถในการส่งข้าราชการเข้าควบคุมดูแล ซึ่งมีปัจจัยทางด้านภูมิศาสตร์ และการสื่อสารคมนาคมเป็นปัจจัย
นี่ทำให้รัฐบาลกลางยุคโบราณ จำเป็นต้อง “กระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น” ด้วยการมอบหมายให้ “เจ้าเมือง” หรือ “เจ้าประเทศราช” กระทำการแทนพระองค์
โดยเฉพาะ “เจ้าประเทศราช” ที่มีอำนาจเป็น “เจ้าชีวิตท้องถิ่น” สามารถกำหนดกฎหมายและประหารชีวิตใครก็ได้ในพื้นที่การปกครองของตนเอง มีอิสระในการปกครองตนเองโดยเสรี เพียงถวายเครื่องราชบรรณาการตามกำหนดเวลา เพื่อแลกกับการคุ้มครองจากรัฐบาลกลางเท่านั้น
—
ในขณะที่รัฐบาลกลาง ราชสำนักรัตนโกสินทร์ปรับปรุงพัฒนาราชสำนัก มีความสัมพันธ์อันดีกับชาติตะวันตก อีกทั้งยังสามารถแสดงให้โลกเห็นถึงศักยภาพของประเทศ ในการพัฒนาให้ทันเหล่าชาติตะวันตก ซึ่งยกตนว่าเป็นผู้มีอารยธรรมอันสูงส่ง และมองชาติเอเชียเป็นพวกคนเถื่อน ได้อย่างสง่างาม
แต่บรรดาเจ้าหัวเมืองท้องถิ่นนั้น ไม่ได้ก้าวทันโลกอย่างราชสำนัก หากแต่ยังคงยึดติดกับอำนาจเก่า และค่านิยมเก่า ๆ ไม่ยอมรับการเปลี่ยนแปลง
ที่สำคัญ คือการเปลี่ยนแปลงของยุคสมัย ทำให้เจ้าหัวเก่า และขุนนางท้องถิ่นหัวโบราณ ต้องสูญเสียผลประโยชน์ ซึ่งนี่คือ “แรงจูงใจ” ให้เกิดการก่อกบฏ ต่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
—
สิ่งนี้จะเห็นได้จากปัญหาความขัดแย้งระหว่างเจ้ากาวิโลรส เจ้าเมืองเชียงใหม่ กับคณะมิชชันนารีชาวอเมริกันของหมอแดเนียล แมคกิลวารี
ในขณะที่หมอแมคกิลวารีพยายามที่จะสอนศาสนา, รักษาโรค และก่อตั้งโรงเรียนแบบตะวันตก เขากลับถูกขัดขวางโดยเจ้ากาวิโลรส ซึ่งหนักจนถึงขั้นสังหารคริสตศาสนิกใหม่ที่เพิ่งเข้ารีตของหมอแมคกิลวารีจนถึงแก่ความตายไปถึง 2 ราย
นอกจากนี้ จดหมายของคณะมิชชันนารีถูกคนของเจ้ากาวิโลรสยึดไว้เสียระหว่างทาง ตัดช่องทางการสื่อสารหระหว่างคณะมิชชันนารีกับกรุงเทพฯ สร้างความหวาดหวั่นให้แก่หมอแมคกิลวารีและคณะ จนต้องแอบส่งจดหมายลับไปถึงหมอบลัดเลย์ ผ่านพ่อค้าชาวพม่า
เรื่องนี้ สร้างความโกรธเคืองให้แก่มิสเตอร์ฮู้ด กงสุลอเมริกันเป็นอย่างมาก เขาแสดงท่าทีที่แข็งกร้าว ยืนกรานให้เจ้ากาวิโลรสรับรองความปลอดภัยของคณะมิชชันนารีอย่างเป็นทางการ
ซึ่งรัฐบาลสยามเองก็ไม่สบายใจ จึงดำเนินมาตรการที่แข็งกร้าวต่อเชียงใหม่ ด้วยการประกาศแต่งตั้งเจ้าอินทนนท์ ราชบุตรเขยของเจ้ากาวิโลรสขึ้นเป็นมหาอุปราชเมืองเชียงใหม่ เพื่อทำหน้าที่คุ้มครองดูแลคณะมิชชันนารีอีกทาง
—
ในเวลาต่อมา คณะมิชชันนารีกลุ่มนี้ คือ ผู้วางรากฐานด้านการศึกษาสมัยใหม่ให้แก่หัวเมืองเหนือ ซึ่งรวมไปถึงการให้การศึกษาแก่สตรี เป็นผู้ให้กำเนิดวิทยาลัยพระคริสต์ธรรมแมคกิลวารี, โรงเรียนเชียงรายวิทยาคม, โรงเรียนดาราวิทยาลัย และโรงเรียนปรินส์รอยแยลส์วิทยาลัย
ในด้านการแพทย์และสาธารณสุข คณะมิชชันนารีของแมคกิลวารี นำการแพทย์แผนตะวันตกเข้ามาให้การรักษาแก่ชาวเหนือ มีการจัดตั้งโรงพยาบาลเป็นครั้งแรกในหัวเมืองเหนือ และต่อมามีการจัดสร้างโรงพยาบาลโรคเรื้อนกลางแม่น้ำปิง ซึ่งได้รับการยอมรับจากชาวเหนือเป็นอย่างดี จนสถานที่เดิมคับแคบ จึงมีการสร้างโรงพยาบาลใหม่ชื่อ “โรงพยาบาลแมคคอร์มิค”
ในพิธีเปิดโรงพยาบาล วันที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2467 สมเด็จเจ้าฟ้ามหิดลอดุลยเดช กรมขุนสงขลานครินทร์ (พระบรมราชชนกในหลวงอานันท์และในหลวงภูมิพล) พร้อมด้วยหม่อมสังวาล มหิดล (สมเด็จย่า) และเจ้าดารารัศมี เสด็จเป็นองค์ประธาน
โรงพยาบาลยังคงให้บริการประชาชน และยังเป็นสถานปฏิบัติการของคณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยพายัพ มาจนปัจจุบัน
—
ถึงแม้ว่าการเปลี่ยนแปลงพัฒนา จะนำมาซึ่งการศึกษาและการสาธารณสุขสมัยใหม่ พัฒนาคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ของชาวบ้านชนบท อีกทั้งการปฏิรูปการปกครองและกระบวนการยุติธรรม จะนำมาซึ่งหลักประกันด้านความมั่นคงปลอดภัยให้แก่ประชาชนก็ตาม
แต่ก็ไม่ใช้ว่าทุกคนจะพึงพอใจต่อการเปลี่ยนแปลงพัฒนา โดยเฉพาะในหมู่ผู้มีอิทธิพลท้องถิ่น เช่นกลุ่มเจ้าหัวเมือง, ขุนนาง และผู้มีอิทธิพลท้องถิ่น ซึ่งเป็นที่มาของการก่อกบฏในหัวเมืองเหนือและอีสาน
อย่างไรก็ตาม การปฏิรูปกองทัพ ทำให้กองทัพสยามมีแสนยานุภาพสูง สามารถดำเนินการปราบปรามกบฏได้อย่างรวดเร็ว ทำให้เหล่าผู้มีอิทธิพลเดิมเข็ดขยาด ยอมรับการเปลี่ยนแปลงแต่โดยดี
นอกจากนี้ การปฏิรูปการปกครองเป็นระบบมณฑลเทศาภิบาล และการกำหนดเขตแดนที่ชัดเจน ตามรูปแบบการปกครองของรัฐสมัยใหม่ ทำให้นักล่าอาณานิคมไม่มีข้ออ้างในการยึดดินแดน ช่วยให้เมืองไทยรักษาแผ่นดิน เอกราช และอำนาจอธิปไตยของชาติเอาไว้ได้อย่างมั่นคง
—
ประวัติศาสตร์การปกครองในทุกยุคสมัย จะมีช่วงเวลาของการรวมศูนย์อำนาจ สลับกับการกระจายอำนาจมาตลอดในทุกยุคทุกสมัย
ในช่วงเวลาที่รัฐจำเป็นจะต้องมุ่งพัฒนาทุกองคาพยพให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน รัฐจะดำเนินนโยบายแบบรวมศูนย์
แต่เมื่อการพัฒนาของรัฐและท้องถิ่น ดำเนินมาจนถึงจุดหนึ่ง ที่ประชาชนในท้องถิ่นมีจำนวน และขีดความสามารถสูงมากเพียงพอ จนเกิดความต้องการที่แตกต่างและซับซ้อนมากขึ้น เวลานั้น รัฐจะดำเนินนโยบายแบบกระจายอำนาจ เพื่อสร้างความคล่องตัวในการบริหารราชการส่วนท้องถิ่นให้เกิดประสิทธิภาพ
—
เหตุการณ์กบฏหัวเมืองในสมัยรัชกาลที่ 5 ซึ่งเป็นเหตุการณ์ช่วงศตวรรษก่อน คือผลพวงที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เนื่องด้วยความจำเป็นที่จะต้องเร่งปฏิรูปการปกครอง พัฒนาประเทศจากศูนย์กลาง ป้องกันประเทศมิให้ตกเป็นเหยื่อของนักล่าอาณานิคมในยุคสมัยนั้น
ตลอดเวลาร้อยกว่าปีที่ประเทศไทย บริหารราชการผ่านนโยบายแบบรวมศูนย์ ทำให้ประเทศไทยเจริญก้าวหน้า มีการพัฒนาทางด้านเศรษฐกิจ สังคม และชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีอย่างในทุกวันนี้
วันนี้ ประเทศไทยในยุคคริสต์ศตวรรษที่ 21 มีการพัฒนาที่ดีพอที่จะปรับเปลี่ยนนโยบายประเทศไปสู่การกระจายอำนาจแล้ว
และโชคดีที่ในวันนี้ เราไม่มีภัยคุกคามจากนักล่าอาณานิคมตะวันตก ทำให้เราสามารถผ่องถ่ายอำนาจสู่ท้องถิ่นอย่างค่อยเป็นค่อยไป ไม่มีความจำเป็นต้องใช้ความรุนแรงได้เหมือนในอดีต
เจตนารมณ์ของรัฐในการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่นเห็นได้จาก รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 หมวด 14 มาตรา 249 ซึ่งระบุว่า
“ภายใต้บังคับมาตรา ๑ ให้มีการจัดการปกครองส่วนท้องถิ่นตามหลักแห่ง การปกครองตนเองตามเจตนารมณ์ของประชาชนในท้องถิ่น ทั้งนี้ ตามวิธีการและรูปแบบองค์กร ปกครองส่วนท้องถิ่นที่กฎหมายบัญญัติ”
—
อดีตมีไว้ให้เราเรียนรู้ เพื่อการมุ่งสู่อนาคตที่ไม่ผิดพลาด มั่นคงและยั่งยืน
ความบาดหมางอันเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงที่จำเป็นระหว่างส่วนกลางและส่วนท้องถิ่นนั้น สมควรที่จะศูนย์สลายไปตามกาลเวลา เหลือเพียงบทเรียนอันทรงคุณค่า ให้พวกเราและลูกหลานสืบไป
อ้างอิง :
[1] “Mandala (political model)”, Wikipedia
[2] “ภาคพายัพแสนไกล”, แดเนียล แมคกิลวารี
[3] “ลูกผู้ชายชื่อนายหลุยส์”, จิระนันท์ พิตรปรีชา (พ.ศ. 2552), สำนักพิมพ์สยามบันทึก
[4] “พระเจ้ากาวิโลรสสุริยวงศ์”, วิกิพีเดีย
[5] “พระเจ้าอินทวิชยานนท์”, วิกิพีเดีย
[6] “Daniel McGilvary”, Wikipedia
[7] “สตรีล้านนากับการศึกษา…โรงเรียนแห่งแรกของเมืองเชียงใหม่”, บงกช สุทัศน์ณอยุธยา (1999)
[8] “ประวัติศาสตร์คริสต์ศาสนาในเชียงใหม่”, ประสิทธิ์ พงศ์อุดม, หน่วยงานจดหมายเหตุประวัติศาสตร์และวิจัยสภาคริสตจักรในประเทศไทย
[9] “โรงพยาบาลแมคคอร์มิค”, วิกิพีเดีย
[10] รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560