“ห้ามชันสูตรพระศพ เพราะกฎมณเฑียรบาลห้ามแตะพระวรกาย” คำกล่าวอ้างของปรีดีที่เลื่อนลอยและไร้เหตุผล
คำให้การของ พ.ต.นายแพทย์นิตย์ เวชวิศิษฐ์ ที่ได้ให้การต่อหน้าคณะกรรมการฝ่ายแพทย์ ตามบันทึกการประชุมคณะกรรมการฝ่านแพทย์ ครั้งที่ 4 วันอังคารที่ 25 มิถุนายน 2489 เวลา 9.20 น. ห้องประชุมโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ศาลาแดง
“นายแพทย์ใช้ฯ ยูนิพันธ์ : เหตุใดจึงไม่ตรวจชันสูตรพระบรมศพ
พ.ต.นิตย์ฯ : ทราบจากท่านนายกรัฐมนตรีว่า ไม่เป็นที่ต้องพระประสงค์ของเจ้านายบางพระองค์ อีกทั้งเป็นพระมหากษัตริย์…..”
คำให้การของ นายแพทย์นิตย์ฯ นี้ สอดคล้องกับความต้องการของ นายกรัฐมนตรีปรีดีฯ ที่ได้แถลงไว้ต่อสภาฯ หลายต่อหลายครั้งว่าที่ไม่ต้องการให้ชันสูตรพระบรมศพนั้น เป็นเพราะกฎมณเฑียรบาล สมัยโบราณ ที่กำหนดไว้ว่า “ห้ามแตะต้องพระวรกายพระมหากษัตริย์”
ซึ่งเท่าที่ตรวจสอบ กฎมณเฑียรบาลดังกล่าวนั้น “ไม่มีอยู่จริง” ถ้าจะพอมีอยู่บ้าง ก็จะมีเพียงกฎมณเฑียรบาลที่ว่า “ห้ามแตะต้องพระวรกายของพระมเหสี” เท่านั้น
โดยกฎมณเฑียรบาลเรื่อง “ห้ามแตะต้องพระวรกายพระมเหสี” นี้ ถูกพูดถึง จากกรณี “พระนางเรือล่ม” (สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ พระบรมราชเทวี) ในรัชสมัยของในหลวงจุฬาลงกรณ์ ที่ทรงทิวงคตด้วยอุบัติเหตุทางเรือ แต่ไม่มีผู้ใดเข้ากล้าเข้าช่วยเหลือ ด้วยเกรงผิดกฎมณเฑียรบาล
ที่นับว่าเป็นจุดเปลี่ยนแปลงอันสำคัญคือการเปลี่ยนแปลงการปกครองใน พ.ศ. 2475 ซึ่งมีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขภายใต้รัฐธรรมนูญขึ้น เป็นเหตุให้ข้อกำหนดส่วนใหญ่ในกฎมณเฑียรบาลฉบับกรุงศรีอยุธยาไม่อาจใช้บังคับได้ต่อไป
เกี่ยวกับพระราชประเพณีนี้ดูจะเป็นเรื่องแปลก เพราะการแถลงในรัฐสภาฯ นายปรีดีฯ แถลงอยู่หลายครั้งว่า ชันสูตรพระบรมศพโดยละเอียดไม่ได้ เพราะขัดกับพระราชประเพณี
กรณีเช่นนี้ถ้ามีพระราชประเพณีห้ามไว้จริง ก็น่าจะละเมิดได้ เพราะเป็นเรื่องสำคัญจำเป็น แต่ในทางตรงกันข้าม ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ในสำนักพระราชวังเช่น นายเฉลียวฯ ได้ปฏิบัติการละเมิดพระราชประเพณีอยู่เป็นอาจิณ โดยไม่รู้ตัว ไม่แก้ไข ไม่เห็นเป็นเรื่องผิด
เช่น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวประทับอยู่บนพระที่นั่งบรมพิมาน นายเฉลียวฯ ก็ขับรถผ่านหน้าพระที่นั่งเข้าไปยังที่ทำงานของตน ซึ่งอยู่ในตึกใกล้พระที่นั่ง
บางครั้งนายเฉลียวฯ ก็มีการเลี้ยงสุราในห้องทำงานซึ่งอยู่ตรงข้ามกับพระที่นั่ง หรือไม่ก็เปิดวิทยุให้ดังไปถึงพระที่นั่ง การปฏิบัติหน้าที่บางคราวก็ไม่ถูกต้องเป็นอย่างยิ่ง เช่นเดินสูบบุหรี่ใส่แว่นตาดำขึ้นไปเฝ้าบนพระที่นั่ง ทิ้งก้นบุหรี่เรี่ยราดลงบนพรม จนผู้อื่นต้องตามเก็บ เพราะเกรงว่าจะเกิดเพลิงไหม้ แม้แต่เอารถยนต์พระที่นั่งไปให้นายปรีดีฯใช้ จนพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไม่มีรถใช้ ก็เกิดขึ้นมาแล้ว
นายปรีดีฯ ซึ่งเป็นผู้บัญชาการสำนักพระราชวังโดยตำแหน่ง ก็ไม่ปรากฎว่าได้ว่ากล่าวตักเตือนในความประพฤติของนายเฉลียวฯ แต่อย่างใด
แม้แต่คำให้การของนายฉลาดฯ ที่ให้การเป็นพยานต่อศาลกลางเมือง ก็ถูกบิดเบือนโดยกรมโฆษณาการ ที่เอามาสรุปความเอาใหม่ และเผยแพร่อย่างผิดความหมายในสาระสำคัญ
นอกจากนั้น การประชุมสภาฯ เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2489 หลังจากการที่รัฐบาลได้แถลงนโยบายเสร็จแล้ว สมาชิกรัฐสภาได้มีการซักถามรายละเอียดเกี่ยวกับกรณีสวรรคต
โดยรัฐบาลมีการตอบข้อซักถามอย่างหนักแน่น แต่บิดเบือนในข้อเท็จจริง กล่าวคือ มีการอ้างพระราชกระแสของพระอนุชา ในคืนวันที่ 9 มิถุนายน 2489 ว่า “ทรงเชื่อว่าเป็น เอ็กซิเด็น”
ซึ่งตรงกันข้าม กับบันทึกการเข้าเฝ้าเพื่อรับพระราชทานกระแสพระราชดำรัส ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และพระราชดำรัสของพระราชชนนี ของคณะกรรมการสอบสวนพฤติการณ์ การสวรรคตของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล วันที่ 26 กรกฎาคม 2489
ซึ่งพระยาลัดพลีธรรมประคัลภ์ ประธานศาลฎีกา ในฐานะประธานกรรมการฯ ได้มีการขอพระราชทานพระราชกระแสว่า
ประธานฯ : ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทได้พระราชทานคำตอบแก่เจ้าหน้าที่ตำรวจมาบ้างแล้ว ในคำถามอันนี้ ดูเหมือนว่ายังมีที่สงสัยอยู่ จึงขอกราบบังคมทูลเพื่อทราบความชัดเจนในเรื่องสาเหตุแห่งการสวรรคตนี้ ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทได้เคยพระราชทานพระราชกระแส แก่หลวงนิตย์ฯ หรือแก่บุคคลอื่นใดเป็นประการใดบ้างหรือไม่
พระราชกระแสฯ : ก็เคยบอกว่า อาจจะเป็นนี่เป็นนั่นเพราะไม่ทราบแน่ และก็ไม่ได้บอกว่าเป็นนี่แน่ เป็นอุปัทวเหตุหรือเป็นอะไรแน่ ฉันบอกว่าอาจจะเป็นอุปัทวเหตุ จริงๆแล้วฉันนึกว่าเขาพิสูจน์ไปตรวจได้เต็มที่ แล้วก็อาจจะเป็นได้ แต่ไม่ได้บอกว่าเป็นแน่
จะเห็นได้ว่า มีการพยายามขัดขวางการชันสูตรพระบรมศพ ไม่ว่าจะเป็นการอ้างพระราชประเพณีก็ดี การตั้งธงชี้นำโดยรัฐบาล ว่าการสวรรคตของล้นเกล้าล้นกระหม่อมนั้น เป็นไปโดยอุปัทวเหตุก็ดี หรือแม้แต่การจงใจบิดเบือนพระราชกระแสของพระอนุชา เพื่อแถลงในสภาฯ เพื่อชี้นำไปยังธงที่รัฐบาลตั้งไว้ว่าเป็นการสวรรคตโดยอุบัติเหตุก็ดี
การบิดเบือนพระราชกระแสนี้ เป็นเหตุผล และตัวอย่างชั้นดีว่า การที่นายกรัฐมนตรีปรีดีฯ บอกแก่หลวงนิตย์ว่า “ไม่ต้องชันสูตรพระบรมศพ เพราะเป็นพระมหากษัตริย์นั้น เลื่อนลอยไม่น่าเชื่อถือ” ทั้ง ๆ ที่ในความเป็นจริง ไม่มีเจ้านายพระองค์ไหน กล่าวเช่นนั้น
แม้แต่กรมขุนชัยนาทฯ ที่ให้การไว้ว่า “ได้ทรงห้ามพระรามอินทรา ไม่ให้แยงบาดแผลตรวจดูว่ามีกระสุนฝังอยู่หรือไม่ เพราะเห็นว่าน่าเกลียด” และเนื่องจากพระรามอินทราเป็นตำรวจ ไม่ใช่แพทย์ผู้มีหน้าที่ชันสูตร
แต่กรมขุนชัยนาทฯ และพระบรมวงศานุวงศ์ไม่ได้คัดค้าน หรือห้ามการสืบสวนสอบสวนตามกฎหมาย โดยอ้างว่าขัดกับพระราชประเพณีแต่อย่างใดเลย
ถึงแม้ในที่สุดแล้ว จะปรากฎหลักฐานว่ามีเจ้านายพระองค์ไหนกล่าวห้ามชันสูตรพระบรมศพโดยอ้างพระราชประเพณีเช่นนั้นก็ตาม
แต่การละเมิดพระราชประเพณี เพื่อสืบหาตัวคนร้ายที่ปลงพระชนม์พระมหากษัตริย์ ก็ย่อมทำได้ เพราะเป็นไปตามบทบัญญัติของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ว่าด้วยการชันสูตรพลิกศพ ซึ่งถือเป็นกฎหมายในระบอบประชาธิปไตย ย่อมมีศักดิ์คุณค่าบังคับได้มากกว่ากฎมณเฑียรบาล
ขนาดนายเฉลียวฯ ผู้ใต้บังคับบัญชา นายกรัฐมนตรีปรีดีฯ โดยตรง ละเมิดพระราชประเพณีครั้งแล้วครั้งเล่า นายกรัฐมนตรีปรีดีฯ ยังไม่ถือเป็นเรื่องใหญ่โตอะไร
เหตุผลที่สนับสนุนข้ออ้างของนายกรัฐมนตรีปรีดีฯ ที่ว่าด้วย “การห้ามแตะต้องพระวรกายพระมหากษัตริย์” ดังกล่าวนี้ จึงเป็นเหตุผลที่เหลวไหลโดยสิ้นเชิง
น่าสังเกตเป็นอย่างยิ่งว่า ในตอนต้นของหนังสือต้องห้าม “กงจักรปีศาจ” นั้น มิสเตอร์กรูเกอร์ ได้มีการอ้างกฎมณเฑียรบาลในสมัยรัชกาลที่ 3 ที่ว่า การบรรทมของพระองค์นั้น ไม่มีใครกล้าปลุก เพราะไม่มีใครสามารถแตะต้องพระวรกายของพระมหากษัตริย์ได้ ถือเป็นกฎมณเฑียรบาลอย่างเด็ดขาด
ซึ่งถือเป็นการชี้นำ และตรงกัน กับการพยายามขัดขวางการชันสูตรพระบรมศพ เพื่อชี้นำว่าเป็นอุบัติเหตุ หรือการปลงพระชนม์เอง โดยนายกรัฐมนตรีปรีดีฯ อย่างน่าประหลาดใจ
คำถามที่น่าสนใจคือ ประเทศอังกฤษ นายกรัฐมนตรีปรีดีฯ หัวหน้าเสรีไทยสายอังกฤษ หนังสือกงจักรปีศาจ เกี่ยวข้องกันหรือไม่ แค่ไหน อย่างไร
ที่มา :
[1] บันทึกการประชุมคณะกรรมการฝ่านแพทย์ ครั้งที่ 4 วันอังคารที่ 25 มิถุนายน 2489 เวลา 9.20 น. ห้องประชุมโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ศาลาแดง
[2] รายงานการประชุมสภาฯ วันที่ 11 มิถุนายน 2489
[3] บันทึกการเข้าเฝ้าเพื่อรับพระราชทานกระแสพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และพระราชดำรัสของพระราชชนนี ของคณะกรรมการสอบสวนพฤติการณ์ การสวรรคตของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล วันที่ 26 กรกฎาคม 2489