‘สถาบันการเมือง’ ผังแม่บทที่ว่าด้วยการอยู่ร่วมกันได้ของมนุษย์

ในทุกสังคมบนโลกใบนี้นอกจากจะมีจำนวนคนมากมายแล้ว ยังมีปัจจัยหลายอย่างที่หมุนเวียนภายในสังคมภายใต้บริบทของการใช้ชีวิตร่วมกันตั้งแต่ปัจจัยในระดับบุคคลจนขึ้นไปถึงระดับใหญ่ เช่น ความเชื่อที่แตกต่างกัน ไปจนถึงการสังกัดเป็นองค์กรที่อยู่คนละฝ่าย ดังนั้นแล้วในสังคมหนึ่งจึงมีความซับซ้อนอย่างมาก และมีสิ่งที่ต้องให้บริหารจัดการอย่างสูง ความซับซ้อนนี้เองที่ทำให้บางครั้งเกิดการทะเลาะเบาะแว้ง หรือเกิดปัญหาอื่นๆ ซึ่งนี่เป็นปัญหาพื้นฐานที่นักคิดได้พยายามหาวิธีจัดการตั้งแต่สายปรัชญา Social Contract ถือกำเนิดขึ้น [1] เพื่อจัดการกับปัญหาพื้นฐานของการอยู่ร่วมกัน มนุษย์จึงได้ออกแบบ “สถาบันการเมือง” ขึ้นเพื่อแก้ปัญหาความร่วมมือให้มนุษย์สามารถดำรงอยู่ด้วยกันได้

เราลองจินตนาการว่า หากมีคนแปลกหน้าสิบคนที่ไม่รู้จักกันมาก่อนต้องประสบเคราะห์กรรมไปติดอยู่บนเกาะแห่งหนึ่งโดยไม่มีวี่แว่วว่าจะมีใครมาช่วยเหลือ แน่นอนว่าในสภาพเช่นนี้ทำให้พวกเขาต้องสร้างกฎเกณฎ์ในการอยู่ร่วมกันเพื่อให้ดำเนินไปอย่างราบรื่น เช่น อาจมีการแบ่งหน้าที่ความรับผิดชอบ มีการวางระบบสอดส่อง หรือถ้าหากมีปืนอยู่หนึ่งกระบอกและมีกระสุนอยู่สิบลูก ทั้งสิบคนนี้จะเก็บรักษาปืนไว้กับใคร หรือจะแบ่งกระสุนกันออกไปอย่างไรเพื่อไม่ให้เกิดการใช้มาบังคับขู่เข็ญกันแทนที่จะใช้เพื่อป้องกันตัว ตัวอย่างนี้เป็นตัวอย่างของสังคมเล็กๆ เพียงสิบคนเท่านั้น แต่เมื่อสังคมนั้นใหญ่ขึ้นและซับซ้อนขึ้นสถาบันการเมืองจึงมีหน้าที่ที่จะต้องจัดการมากขึ้นไปอีก [2]

สถาบันการเมืองนั้นไม่ใช่แค่เป็นเพียงโครงสร้างหรือองค์การต่างๆ ที่เราคุ้นเคย เช่น รัฐสภา พรรคการเมือง หรือกองทัพ แต่สถาบันการเมืองนั้นครอบคลุมทั้งสิ่งที่เป็นทางการ (เช่นตัวอย่างข้างต้น) และสิ่งที่ไม่เป็นทางการ เช่น ความเชื่อ ค่านิยม วัฒนธรรม สถาบันการเมืองจึงเป็นสิ่งที่ต้องมีเสถียรภาพมากพอที่คนในสังคมหนึ่งๆ จะใช้ยึดถือได้ สถาบันการเมืองจึงสามารถแบ่งออกเป็นสี่ประเภทด้วยกัน คือ สถาบันที่คอยออกกฎ สถาบันที่คอยนำกฎไปปฏิบัติ สถาบันที่คอยวินิจฉัยกฎ และสถาบันที่คอยบังคับใช้กฎ ดังนั้นสถาบันการเมืองจึงเป็นสิ่งที่วางโครงสร้างของต้นทุนที่จะติดตามมากับการกระทำต่างๆ ของตัวแสดงที่จะต้องทำตามที่สถาบันการเมืองกำหนดไว้เพื่อที่ตนจะได้ผลประโยชน์สูงสุดหรือเสียผลประโยชน์น้อยที่สุด

สถาบันการเมืองไม่ได้กระทำการอะไร แต่สถาบันการเมืองคือสิ่งที่กำหนดสภาพแวดล้อมหรือภูมิทัศน์ทางการเมืองที่ตัวแสดงมีปฏิสัมพันธ์กัน สถาบันการเมืองจึงเป็นสิ่งที่คอยกำกับชี้นำพฤติกรรมของตัวแสดงในระบบทำให้พฤติกรรมต่างๆ มีต้นทุนและผลประโยชน์ที่แตกต่างกันออกไป สถาบันการเมืองจึงต้องมีความต่อเนื่องเพื่อกำกับพฤติกรรมเหล่านี้เอาไว้ เพราะสถาบันการเมืองนั้นมีหน้าที่ในการแก้ปัญหาการกระทำรวมหมู่ (Collective action problem) คือในทางวิชาการถือกันว่ามนุษย์เป็นสัตว์เศรษฐกิจที่พยายามคิดคำนวณอย่างมีเหตุผลหรือการทำประโยชน์ให้แก่ตัวเองมากที่สุด แต่เมื่อเป็นเช่นนี้เวลากลุ่มของมนุษย์ทำอะไรขึ้นมา ก็จะมีมนุษย์ที่กินแรง แต่มนุษย์ที่กินแรงนี้ก็ยังได้ประโยชน์ เพราะผลประโยชน์ของกลุ่มมนุษย์ที่ทำร่วมกันนั้นเป็นสินค้าสาธารณะที่กีดกันใครออกไปไม่ได้ สถาบันการเมืองจึงมีความหมายตรงที่แก้ปัญหาในส่วนนี้ โดยให้เกิดการกินแรงกันน้อยที่สุด หรือทุกคนเสียหายน้อยที่สุด

ตัวอย่างหนึ่งก็คือเราทุกคนอยากมีตำรวจไว้ดูแลความสงบเรียบร้อย แต่ทุกคนจะต้องจ่ายภาษีมาเป็นค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการตำรวจ แต่เมื่อมีคนหนึ่งคิดว่าฉันไม่จ่ายคนเดียวไม่เป็นไรหรอก อย่างไรทุกคนก็จะต้องจ่ายเพื่อให้มีตำรวจ แต่เมื่อทุกคนคิดแบบนี้มากขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายก็จะไม่มีเงินไปจ่าย ทำให้ต้องมีการออกแบบสถาบันการเมืองเข้ามาบังคับการจ่ายภาษีเพื่อให้กิจการต่างๆ สามารถดำเนินต่อไปได้ แต่ที่กล่าวนี้เป็นบทบาทของสถาบันในเชิงบวกที่ทำให้ทุกคนร่วมมือกันได้ แต่ยังมีสถาบันบทบาทในเชิงลบที่เป็นการใช้สถาบันมาเพื่อคอยบีบบังคับผู้อื่นด้วย เช่น นักวิชาการมาร์กซิสต์ที่วิเคราะห์เรื่องการใช้กฎหมายหรือเรื่องกรรมสิทธิ์มากดขี่แรงงาน

สถาบันการเมืองนี้ยังสามารถนำมาสู่ผลลัพธ์ทางการเมืองที่แตกต่างกันได้อีกด้วย โดยสามารถเขียนโดยแบ่งกรณีได้ดังนี้

  1. ตัวแสดง ก. + ตัวแสดง ข. + บริบท ค. + สถาบัน ง. = ผลลัพธ์ ฉ.
  2. ตัวแสดง ก. + ตัวแสดง ข. + บริบท ค. + สถาบัน จ. = ผลลัพธ์ ช.

จากข้างต้นเราจะเห็นว่าแม้จะมีหลายปัจจัยเหมือนกัน แต่ถ้าสถาบันต่างไปผลลัพธ์ที่ได้ก็จะต่างกันออกไปด้วย ดังนั้นสถาบันการเมืองจึงมีความสัมพันธ์กับผลลัพธ์ทางการเมืองแบบสาเหตุ-ผลลัพธ์อยู่ด้วย สถาบันการเมืองจึงเป็นทั้งต้นตอและผลลัพธ์ทางการเมืองในขณะเดียวกัน ดังนั้นหากเกิดคำถามว่าจะออกแบบสถาบันการเมืองอย่างไรจึงเป็นคำถามที่กว้างขวางอย่างมาก กล่าวคือหากเราแม้จำกัดมิติการพิจารณาการเมืองให้เหลือเพียง 10 มิติ และแต่ละมิติมีเพียง 2 ทางเลือกดังตารางด้านล่างที่ยังปรากฏจริงอยู่ในโลกการเมืองนี้ เราจะสามารถออกแบบการสถาบันการเมืองได้ถึง 1,024 แบบ (2 กำลัง 10) จากเพียงตารางไม่กี่ช่องนี้

                                                                                                                                                         
มิติที่ต้องพิจารณาทางเลือก
พรรคการเมืองก. ระบบสองพรรค

ข. ระบบหลายพรรค

การเลือกตั้งก. เสียงข้างมาก

ข. สัดส่วน

สภานิติบัญญัติก. สภาเดี่ยว

ข. สภาคู่

โครงสร้างรัฐก. รัฐเดี่ยว

ข. สหพันธรัฐ

อำนาจรัฐบาลก. รัฐสภา

ข. ประธานาธิบดี

ฝ่ายตุลาการก. ระบบทบทวกนกฎหมายก่อนตรากฎหมาย

ข. ระบบทบทวนกฎหมายหลังตรากฎหมาย

รัฐบาลท้องถิ่นก. รวมอำนาจ

ข. กระจายอำนาจ

ข้าราชการก. พวกพ้อง (Spoils recruitment)

ข. ระบบคุณธรรม (Merit recruitment)

กองทัพก. ระบบทหารอาชีพ

ข. ระบบทหารเกณฑ์

บทบาทางเศรษฐกิจของรัฐก. เสรี

ข. ร่วมมือกับเอกชน

ในโลกแห่งความจริงมีความซับซ้อนกว่าตารางนี้อีกมาก ดังนั้นแล้วการไม่พอใจสถาบันใดๆ แล้วอยากจะเปลี่ยนนั้นไม่ใช่สิ่งที่จะทำได้ง่าย เพราะนอกจากความขัดแย้งแล้ว ทางเลือกยังมีอีกมหาศาลอีกด้วย คำถามคือเราจะเลือกสถาบันการเมืองแบบไหน หรือจะเลือกรูปแบบไหนมาผสมกับอะไรทั้งในแง่การปกครอง ค่านิยม หรือวัฒนธรรม ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องตอบอีกมากเพื่อยุติความขัดแย้งให้ได้ การเสนอเพียงง่ายๆ ว่าสถาบันใดไม่เป็นประชาธิปไตยเพราะสืบสายทางสายเลือดจึงต้องโยนทิ้งไปนั้น จึงเป็นการกล่าวที่นอกจากจะไม่เข้าใจความเป็นจริงแล้ว แม้แต่ในทางทฤษฎีก็ไม่รู้อะไรเลย นอกจากนี้สถาบันพระมหากษัตริย์ยังเป็นหนึ่งในสถาบันที่ดำรงมาอย่างยาวนาน ดังนั้นจึงมีความเป็นสถาบันสูงในการแก้ปัญหาต่างๆ เช่นกันด้วย ซึ่งสิ่งนี้ก็เป็นหน้าที่เมื่อรัฐสภายังไม่มีความเป็นสถาบันการเมืองนั่นเอง

อ้างอิง :

[1] David Boucher and Paul Kelly (eds.), The Social Contract from Hobbes to Rawls (New York: Routledge, 1994).
[2] เรียบเรียงจาก ภูริ ฟูวงศ์เจริญ, “สถาบันการเมือง: ความหมาย ความสำคัญ และความคาดหวัง,” ใน การเมือง อำนาจ ความรู้: หลักรัฐศาสตร์เบื้องต้นสำนักธรรมศาสตร์, บรรณาธิการโดยประจักษ์ ก้องกีรติ, พิมพ์ครั้งที่ 2 (กรุงเทพฯ: สยามปริทัศน์, 2565), หน้า 187-210.

TOP
y

Emet nisl suscipit adipiscing bibendum. Amet cursus sit amet dictum. Vel risus commodo viverra maecenas.

r

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    คุกกี้ที่มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้งานเว็บไซต์ได้อย่างเป็นปกติ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณ เพื่อให้เราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมและความสนใจของคุณ

บันทึกการตั้งค่า