รู้หรือไม่? การมีรัฐธรรมนูญ กับการเป็นประชาธิปไตย คือคนละเรื่อง (เดียวกัน)
ผ่านมา 89 ปีแห่งการปฏิวัติสยาม ประเทศได้เปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ (Absolute Monarchy) มาเป็นระบอบพระมหากษัตริย์ “ตาม” รัฐธรรมนูญ (Constitutional Monarchy) ซึ่งเป็นบริบทของสังคม ที่เราต่างยอมรับและเข้าใจในความเปลี่ยนแปลงนี้
แต่วันดีคืนดีมีใครไม่รู้ประกาศโครมว่าจะ “สืบทอดเจตนารมณ์ คณะราษฎร” จะสร้างความเปลี่ยนแปลงให้ประเทศชาติ และยืนยันเด็ดขาดว่า “ชั่วชีวิตนี้จะขอรักษาประชาธิปไตยตราบจนวันตาย” สุดท้ายเลยเถิดไกลไปถึงคำว่า “Republic of Thailand” ซึ่งหลายคนยืนงง ๆ ไม่รู้จะทำยังไงก็ว่าตามกันไป
ในความเป็นจริงแล้ว เจตนารมณ์ของคณะราษฎร เดิมทีไม่ใช่การสถาปนา “ระบอบประชาธิปไตย” แต่เป็นการสถาปนา “ระบอบรัฐธรรมนูญ” ซึ่งพวกเรามักเข้าใจผิดกันว่า ประเทศใดที่มี “รัฐธรรมนูญ” ย่อมต้องเป็น “ประชาธิปไตย” ด้วย
ระบอบประชาธิปไตยกลายเป็นระบอบที่ได้รับการยอมรับทั่วโลก ซึ่งข้อเท็จจริงพบว่า ทุกประเทศที่เป็นประชาธิปไตยย่อมมีกติกากลางเขียนกำกับไว้ สิ่งนั้นคือ “รัฐธรรมนูญ” (The Constitution)
ดังนั้น “การเป็นประชาธิปไตย” กับ “การมีรัฐธรรมนูญ” จึงเป็นสิ่งที่แยกกันไม่ขาดในปัจจุบัน
แต่อย่างไรก็ดี “การมีรัฐธรรมนูญ” กับ “การเป็นประชาธิปไตย” ก็ยังเป็นคนละเรื่อง (เดียวกัน) กันอยู่ดี
อันที่จริงหากพิจารณาจากประวัติศาสตร์ของการเมืองการปกครองทั่วโลก ประเทศแรก ๆ ที่ถือกันว่ามี “รัฐธรรมนูญลายลักษณ์อักษร” (Written Constitution) คือ ราชอาณาจักรสวีเดน โดยได้มีการร่างรัฐธรรมนูญฉบับแรกขึ้นในปี ค.ศ. 1634 ซึ่งสวีเดนสมัยนั้น ยังถือว่าเป็นระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ด้วยซ้ำ และรัฐธรรมนูญฉบับดังกล่าว ก็ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับการสถาปนาระบอบประชาธิปไตยเลย
ส่วนการเกิดขึ้นของรัฐธรรมนูญอเมริกาในปี ค.ศ. 1787 – 1789 นั้น จัดเป็นรัฐธรรมนูญลายลักษณ์อักษรแบบสาธารณรัฐที่มีประธานาธิบดีเป็นประมุข ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นรัฐธรรมนูญประชาธิปไตยแบบบริสุทธิ์ตามความเข้าใจในสมัยนั้น เนื่องจากในช่วงก่อนคริสต์ศตวรรษที่ 20 “การเป็นประชาธิปไตย” หมายถึง “การไม่มีกษัตริย์”
ดังนั้นแนวคิดเรื่องรัฐธรรมนูญ จึงเกี่ยวข้องกับการตรากฎหมายสูงสุด (Fundamental Law) ว่าด้วยประเพณีการปกครองของประเทศนั้น ๆ โดยกฎหมายสูงสุดที่ว่านี้ จะปรากฏเนื้อหาว่าด้วยรูปแบบการปกครอง รูปแบบแห่งประมุข อำนาจของประมุข หรือกระทั่งข้อกำหนด ข้อจำกัด หรือสิทธิ์ต่าง ๆ ที่ผูกพันต่อประมุขและผู้ปกครองประเทศ
เพราะฉะนั้น การมีรัฐธรรมนูญจึงไม่จำเป็นต้องเกี่ยวข้องกับ “ระบอบประชาธิปไตย”
สำหรับประเทศไทยเองก็มีความเข้าใจทำนองว่า การปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 คือการปฏิวัติเพื่อสถาปนา “ระบอบประชาธิปไตย”
ซึ่งจริง ๆ แล้วเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน
เจตนารมณ์ของคณะราษฎร แท้จริงแล้วคือการสถาปนา “ระบอบรัฐธรรมนูญ” โดยผ่านการปฏิวัติยกเลิกระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ แล้วร่างรัฐธรรมนูญขึ้นมา “จำกัดอำนาจ” ของพระมหากษัตริย์ เพื่อให้เปลี่ยนการปกครองเป็นระบอบพระมหากษัตริย์ “ตาม” รัฐธรรมนูญ (Constitutional Monarchy) ที่พระมหากษัตริย์ทรงมีอำนาจอย่างจำกัด (Limited Monarchy)
ซึ่งหลายคนก็พยายามอธิบายว่านั่นคือ ระบอบพระมหากษัตริย์ “ใต้” รัฐธรรมนูญ
ส่วนคำว่า “ระบอบประชาธิปไตย” นั้นพบว่า เพิ่งเรียกใช้กันภายหลังปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครองราว 1-2 ปี หลังจากที่สังคมไทยเกิดความเข้าใจกันใหม่ว่า “ประชาธิปไตย” กับ “พระมหากษัตริย์” สามารถคงอยู่ร่วมกันได้
อย่างที่ประเทศอังกฤษได้แสดงให้เห็นเป็นตัวอย่างของการผสมกลมกลืนระหว่างแนวความคิดนี้ แม้ว่าจะไม่มีการเขียนรัฐธรรมนูญออกมาเป็นลายลักษณ์อักษร (Unwritten Constitution) ก็ตาม อีกทั้งการปกครองของอังกฤษ (ระบอบพระมหากษัตริย์ “ตาม” รัฐธรรมนูญ) ยังเป็นต้นแบบให้แก่หลายประเทศได้เจริญรอยตาม รวมถึงประเทศไทยในสมัยนั้นด้วย
อย่างไรก็ดี รัฐบาลคณะราษฎรตั้งแต่ พ.ศ. 2475 – 2489 ก็มักนิยามรูปแบบการปกครองของไทยว่าเป็น “ระบอบรัฐธรรมนูญ” มากกว่า “ระบอบประชาธิปไตย” อยู่ดี ดังจะเห็นได้จากการจัดงานฉลองรัฐธรรมนูญอย่างใหญ่โตมาตั้งแต่ พ.ศ. 2475 จนถึงช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2
ทั้งหมดนี้คือข้อเท็จจริง ที่แสดงให้เห็นถึงความเกี่ยวเนื่องที่แยกกันไม่ขาดระหว่าง “การเป็นประชาธิปไตย” กับ “การมีรัฐธรรมนูญ” ตลอดจนแสดงให้เห็นว่า “การมีรัฐธรรมนูญ” ก็ไม่ได้ชี้ขาดว่าชาตินั้นจะต้อง “เป็นประชาธิปไตย”
การใส่ใจและตื่นตัวทางการเมืองย่อมเป็นเรื่องดี แต่ถ้ายังไม่เข้าใจในสิ่งที่มีอย่างถ่องแท้ แทนที่เราจะก้าวไปข้างหน้า บางทีอาจกลับกลายเป็นโดนผูกสนตะพาย ลากหงายให้ต้องถอยหลัง หรือหลงทางกันไปจนกู่ไม่กลับก็เป็นไป
อ้างอิง : หนังสือ
การปฏิวัติสยาม พ.ศ.2475 ของ นครินทร์ เมฆไตรรัตน์
คู่มือพลเมือง ของ สำนักงานโฆษณาการ พ.ศ.2480