
‘รัฐพัฒนาการ’ แนวคิดเสรีของอเมริกา ที่ขับเคลื่อนใต้น้ำด้วยกำลังทหาร
รูปแบบของ “รัฐพัฒนาการ” หรือ Developmental state นั้นเป็นแนวคิดที่ถูกคิดค้นขึ้นโดย Chalmers Johnson นักรัฐศาสตร์ชาวอเมริกัน โดยเขานิยามว่ารัฐพัฒนาการคือรัฐที่เน้นไปที่การพัฒนาเศรษฐกิจและประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ แนวคิดนี้เขาได้มาจากการศึกษาช่วงการพัฒนาของญี่ปุ่นที่มีช่วงหนึ่งเศรษฐกิจของญี่ปุ่นนั้นเติบโตอย่างมหัศจรรย์ภายใต้การนำของข้าราชการและเทคโนแครตในกระทรวงการค้าระหว่างประเทศและการอุตสาหกรรม (MITI) ในหนังสือชื่อ MITI and the Japanese Miracle [1] ซึ่งหนังสือเล่มนี้ได้สร้างแรงกระเพื่อมอย่างยิ่งในแวดวงวิชาการและก่อให้เกิดการศึกษารัฐอื่นๆ ในฐานะรัฐพัฒนาเรื่อยมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในทวีปเอเชีย อย่าง เกาหลีใต้ จีน ฮ่องกง สิงคโปร์ ซึ่งมีวิธีการพัฒนาที่แตกต่างไปจากโลกตะวันตกและดีดตัวเองขึ้นมาบนเวทีโลกได้อย่างงดงาม
วิธีของรัฐพัฒนานั้นจะแตกต่างกับวิธีการของหลายประเทศในตะวันตกอยู่ตรงที่ว่า ตะวันตกนั้นมักจะพัฒนาโดยปล่อยให้กลไกตลาดทำหน้าที่ของมันเอง แต่รัฐพัฒนาจะมีบทบาทที่เข้าไปจัดการกับกลไกตลาดและเป็นผู้เล่นในทางเศรษฐกิจที่สำคัญมากกว่าปล่อยให้กลไกตลาดทำหน้าที่ของมันเองเพื่อสร้างการเจริญเติบโต ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลที่กลไกตลาดไม่อาจทำงานได้ในรัฐที่สังคมและเอกชนไม่มีศักยภาพ หรือการที่กลไกตลาดมิอาจทำให้การเติบโตเกิดขึ้นได้มากกว่านี้ หรือกระทั่งเป็นประเด็นทางการเมืองก็ตาม [2]
การที่หลายประเทศมีรูปแบบรัฐพัฒนาการและสามารถถีบให้ตนเองขึ้นมายืนอยู่บนเวทีโลกได้สำเร็จนั้น เป็นการยืนยันว่ารัฐและตลาดไม่จำเป็นต้องเป็นศัตรูกัน และเป็นไปได้ที่กลไกตลาดสามารถทำงานได้ดีขึ้นได้หากรัฐทำงานได้อย่าง “ถูกต้อง” [3] ไทยเองก็เคยมีช่วงที่อาจจะพอเรียกได้ว่าเข้าขั้นรูปแบบรัฐพัฒนาอยู่คือในช่วงของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์, พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ และพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา แต่ทั้งนี้ไทยก็มีช่วงความรุ่งเรืองในช่วงของรัฐบาลพลเรือนก่อนวิกฤตต้มยำกุ้งอยู่ด้วยเช่นกัน
การที่รัฐเข้ามามีบทบาทร่วมกับกลไกตลาดนี้อาจจะถูกมองว่าเป็นสิ่งที่น่าหวาดหวั่นหรือน่ากังวลในสายตาของผู้ที่นิยมกลไกตลาดแบบเสรี (Laissez-faire) แต่ทั้งนี้การปล่อยให้กลไกตลาดดำเนินไปโดยเสรีโดยไม่มีการเข้าไปยุ่งเกี่ยวนั้น ในปัจจุบันไม่มีรัฐไหนที่ทำแบบนี้เลย กล่าวคือรัฐจะมีการเสรีในบางระดับบางแง่มุม แต่ในบางเรื่องก็จะเข้าไปจัดการ [4] ทั้งนี้โดยรัฐแต่ละรัฐมีเป้าหมายที่ต่างกันออกไปว่าจะเข้าไปแทรกแซงเรื่องใดก่อน หรือมีเรื่องไหนที่ควรจะปล่อยให้ทำงานไปเองโดยไม่ต้องเข้าไปยุ่งย่าม ซึ่งแม้แต่สหรัฐอเมริกาเองก็มีรูปแบบรัฐพัฒนาที่เข้าไปจัดการกับกลไกตลาด มิใช่เสรีอย่างที่เราเชื่อ
สหรัฐอเมริกาเป็นหนึ่งในประเทศที่นอกจากจะมีตลาดและเม็ดเงินมหาศาลแล้ว ยังเป็นเป็นประเทศที่อาจถูกเรียกว่าเป็น “แม่แบบ” ของกลไกตลาด เนื่องจากบทบาทและภาพจำที่มาจากเมื่อครั้งสงครามเย็น [5] แต่อย่างไรก็ดีสหรัฐอเมริกาได้มีการปฏิบัติการแบบลับๆ ในการเป็นรัฐพัฒนา กล่าวคือรัฐบาลส่วนกลางได้ขยายแขนขาของตนเองในประเด็นด้านการเงินการคลังเพื่อสนับสนุนภาคเอกชนในการค้าขายเทคโนโลยีใหม่ๆ แต่การทำงานของสหรัฐอเมริกาได้กดเรื่องนี้ให้หายไปจากสื่อต่างๆ สหรัฐอเมริกาจึงเรียกได้ว่ามีสภาวะ “รัฐพัฒนาที่หลบซ่อน” (Hidden developmental state) ซึ่งการเป็นรัฐพัฒนาของสหรัฐอเมริกาเช่นนี้มีผลต่อการพัฒนานวัตกรรมของสหรัฐเอมริกาเอง กล่าวอีกอย่างหนึ่งคือนวัตกรรมที่มาจากสหรัฐอเมริกานั้นมิใช่มาจากกลไกตลาดเพียวๆ แต่มาจากการแทรกแซงด้วย [6]
บทบาทของสหรัฐอเมริกาในการสนับสนุนนวัตกรรมนี้ในปัจจุบันในรัฐบาลของ Joe Biden ก็ยังคงดำเนินต่อไปซึ่งมีการเชื่อมโยงเป็นเครือข่ายและได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลแต่คนก็ยังเข้าใจอยู่ว่าเป็นเพราะกลไกตลาดเสรี [7] กล่าวคือสหรัฐอเมริกานั้นมีรัฐพัฒนาในลักษณะที่เป็นเครือข่ายที่เน้นการวิจัยเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยและถ่ายโอนเข้ามาสู่เชิงพาณิชย์ การพัฒนาเทคโนโลยีนี้จะร่วมมือกันหลายฝ่ายระหว่างรัฐบาล ทุนอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัย และสถาบันต่างๆ แต่ด้วยกระแสที่สหรัฐอเมริกาเน้นระบบตลาดทำให้ผู้ที่สนับสนุนแนวคิดรัฐพัฒนาจะไม่ทำตัวเด่นดัง โครงการต่างๆ ที่พัฒนาจะอยู่ในเพนตากอนหรือกระทรวงกลาโหมของสหรัฐอเมริกาและหน่วยงานความมั่นคงอื่นๆ ภายใต้นโยบายความมั่นคง
การดำเนินการวิจัยขั้นสูงจะทำผ่านหน่วยงาน เช่น Advanced Research Project Agency หือแม้กระทั่งสถาบันสุขภาพแห่งชาติอย่าง National Institutes of Health แต่ทั้งนี้เนื่องจากการพัฒนาเป็นไปโดยลับ ทำให้งบประมาณที่สนับสนุนนั้นไม่ต่อเนื่องและมีการนำความรู้ที่ได้มาใช้กับการพาณิชย์มากเกินไป (ใช้จ่ายด้านทหารและสุขภาพสูงมาก แต่ผลพลอยได้ไปตกกับอุตสาหกรรม) รัฐพัฒนาการของสหรัฐฮเมริกาได้ส่งผลบวกต่อภาคอุตสาหกรรมเห็นได้จากอุตสาหกรรมวิศวกรรมต่างๆ และเมื่อพิจารณาว่าช่วง ค.ศ. 1950-1990 นั้นรัฐบาลกลางสหรัฐอเมริกาแต่ละปีได้ตั้งงบสูงถึงร้อยละ 47-65 ของเงินลงทุนด้านวิจัยขจองชาติ เมื่อเทียบกับญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ที่อยู่ที่ร้อยละ 20 และยุโรปที่ร้อยละ 30 เท่านั้น เงินลงทุนของสหรัฐอเมริการ่วมกับการใช้จ่ายของรัฐสำหรับกองทัพได้ช่วยเหลืออุตสาหกรรม สหรัฐอเมริกาจึงเรียกได้ว่าเป็น “ผู้ใช้นโยบายรัฐวิสาหกิจตัวฉกาจของโลก” [8]
เราจึงอาจกล่าวสรุปได้ว่าทุกประเทศนั้นมีวิธีการพัฒนาของตัวเอง และไม่ได้ปล่อยใก้กลไกตลาดทำงานโดยตัวมันเองอยู่เสมอ เพราะทุกครั้งที่กลไกตลาดพังก็มีแต่รัฐบาลที่เข้าไปแก้ทุกครั้ง กลไกตลาดไม่เคยฟื้นขึ้นมาเองเลยแม้แต่ครั้งเดียว ดังนั้นจึงต้องมีความสมดุลระหว่างปล่อยให้เกิดการพัฒนาและแทรกแซงในสิ่งที่ควร เพราะแม้แต่สหรัฐอเมริกาเองก็มีการแทรกแซงผ่านการเป็นรัฐพัฒนาแบบหลบซ่อน ทั้งนี้ก็เพื่อให้ผลประโยชน์ของภาคเอกชนและความก้าวหน้าของมหาชนสมดุลกันนั่นเอง
อ้างอิง :
[1] Chalmers Johnson, MITI and the Japanese Miracle: The Growth of Industrial Policy, 1925-1975 (Stanford: Stanford University Press, 1982).
[2] Ziya Öniş, “The Logic of the Developmental State,” Comparative Politics, Vol. 24, No. 1 (Oct., 1991): 109-126.
[3] Richard Grabowski, “The successful developmental state: Where does it come from?,” World Development, Volume 22, Issue 3 (March 1994): 413-422.
[4] Robert Boyer and Daniel Drache (eds.), States Against Markets: The Limits of Globalization (London: Routledge, 1996), chapter 3.
[5] Monica Prasad, The Politics of Free Markets: The Rise of Neoliberal Economic Policies in Britain, France, Germany, and the United States (Chicago: University of Chicago Press, 2006).
[6] Fred Block, “Swimming Against the Current: The Rise of a Hidden Developmental State in the United States,” Politics & Society Volume 36, Issue 2 (2008): 169-206.
[7] Fred Block et al., “Revisiting the Hidden Developmental State,” Politics & Society [Ahead of print] (2023): 1-33.
[8] นพนันท์ วรรณเทพสกุล, รัฐพัฒนาการ: อุดมการณ์และจินตภาพการพัฒนาเศรษฐกิจ (กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2560), หน้า 180-181.