ย้อน 5 วันประวัติศาสตร์ จากยึดอำนาจถึงจัดตั้งสภาฯ ที่ใช้เวลาเพียง 5 วัน โดยไม่มีการนองเลือด

วันศุกร์ที่ 24 มิถุนายน 2475 ข้าราชการทหารและพลเรือนระดับกลางจำนวน 102 นาย ในนามของ “คณะราษฎร” ได้ประกาศยึดอำนาจการปกครองและเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยมีวัตถุประสงค์ที่จะ “ให้ประเทศสยามมีธรรมนูญการปกครองแผ่นดิน” เรื่องนี้เสลา เลขะรุจิ นักเขียนสารคดีทางประวัติศาสตร์การเมือง ได้บรรยายถึงเหตุการณ์อันเป็นจุดเริ่มต้นของศักราชใหม่ในประวัติศาสตร์การเมืองเอาไว้ว่า

“ในเวลาเช้าตรู่ก่อนพระอาทิตย์อุทัยของวันที่ 24 มิถุนายน 2475 กำลังของกองทัพบกส่วนหนึ่งซึ่งประกอบด้วยรถยนต์หุ้มเกราะคันเล็กๆ จำนวนหนึ่งที่ประชาชนเรียกว่า “ไอ้แอ้ด” เพิ่มพลังด้วยกำลังปืนกลหนักของทหารราบและกระสอบทรายได้ถูกลำเลียงมาไว้โดยรอบบังเกอร์ที่ล้อมรอบพระที่นั่งอนันตสมาคม จนกระทั่งฟ้าสางแล้วก็ยังไม่มีผู้ใดรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นแก่บ้านเมืองของตนเอง แต่ในระหว่างบรรยากาศแห่งความขมุกขมัวนั้นเอง นายพันเอกร่างอ้วนอุ้ยอ้ายดำจ้ำม่ำในเครื่องแบบนายทหารปืนใหญ่ ก็ก้าวออกมาจากต้นโศกซึ่งมีกำลังดอกงามบานสะพรั่งอยู่หน้ากาแฟนรสิงห์”

แถลงการณ์ที่นายพันเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา หัวหน้าคณะราษฎร ได้อ่านเมื่อครั้งยึดอำนาจนั้นเป็นที่รู้จักกันในนามของ ประกาศคณะราษฎร ฉบับที่ 1 ถือเป็นแถลงการณ์ที่เต็มไปด้วยถ้อยคำอันดุดัน ประณามพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวและระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ พร้อมทั้งบอกเหตุผลในการรวมกำลังกันตั้งขึ้นเป็นคณะราษฎร และได้ยึดอำนาจของกษัตริย์ไว้ได้แล้ว คณะราษฎรเห็นว่าการที่จะแก้ไขความชั่วร้ายนี้ได้นั้น ต้องจัดให้มีการปกครองโดยมีสภา ส่วนผู้เป็นประมุขของประเทศนั้น คณะราษฎรไม่ประสงค์ทำการแย่งชิงราชสมบัติ ฉะนั้น จึงได้ขอเชิญให้กษัตริย์องค์นี้ดำรงตำแหน่งกษัตริย์ต่อไป แต่จะต้องอยู่ภายใต้กฎหมายธรรมนูญการปกครองแผ่นดิน

ประกาศของคณะราษฎรยังได้ขยายความต่ออีกว่า ในกรณีที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ ไม่ทรงยอมรับข้อเสนอ จะถือว่ามีความจำเป็นที่ประเทศต้องมีการปกครองแบบประชาธิปไตย กล่าวคือ ประมุขของประเทศจะเป็นบุคคลสามัญซึ่งสภาผู้แทนราษฎรได้เลือกขึ้นมาให้อยู่ในตำแหน่งตามเวลาที่กำหนด และพร้อมกันนี้ได้เสนอ หลัก 6 ประการของคณะราษฎร (เอกสาร ความปลอดภัย การเศรษฐกิจ สิทธิเสมอภาค เสรีภาพ และการศึกษา) เพื่อเป็นแนวทางการปกครองสืบไป

การยึดอำนาจจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ในวันนั้น กระทำสำเร็จลงได้ภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง ถือเป็นการยึดอำนาจที่ปราศจากการเสียเลือดเสียเนื้อ มีทหารบก-เรือ และนักเรียนนายร้อยทหารบก (จปร.) เข้าร่วมประมาณไม่เกินสองพันคน ส่วนใหญ่มารวมกันอยู่ ณ ลานพระที่นั่งอนันตสมาคมโดยมีความเข้าใจกันว่าจะมาดูการฝึกซ้อมทางทหาร

ความสำเร็จในการยึดอำนาจของคณะราษฎรครั้งนี้เกิดจากการปฏิบัติการอย่างรวดเร็วฉับพลัน สร้างความงุนงงให้กับกองทหารต่างๆ ที่อยู่ในกรุงเทพฯ อีกทั้งยังได้ตัดการติดต่อสื่อสารด้วยการยึดกรมไปรษณีย์ ทำให้องค์กรของรัฐกลายเป็นอัมพาตไปในช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนั้น และที่สำคัญที่สุดคือการจับกุมเจ้านายและข้าราชการชั้นผู้ใหญ่เอาไว้เป็นตัวประกัน ซึ่งถือเป็นการเพิ่มอำนาจการต่อรองให้กับคณะราษฎรอีกด้วย

บุคคลเหล่านั้นประกอบด้วยสมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต (ประธานอภิรัฐมนตรีและเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย ซึ่งดำรงตำแหน่งผู้สำเร็จราชการรักษาพระนคร โดยในช่วงเวลานั้น พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ เสด็จแปรพระราชฐานไปยังพระราชวังไกลกังวล หัวหิน) สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ (อภิรัฐมนตรี) สมเด็จเจ้าฟ้า กรมพระนริศรานุวัตติวงศ์ (อภิรัฐมนตรี) นายพลโทพระยาสีหราชเดโชชัย (เสนาธิการทหารบก นายพลตรีพระยาเฉลิมอากาศ (เจ้ากรมอากาศยาน) นายพลตำรวจโทพระยาอธิกรณ์ประกาศ (อธิบดีกรมตำรวจ) เป็นต้น

ภายในระยะเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมง คณะราษฎรก็สามารถคุมสถานการณ์ในกรุงเทพไว้ได้ทั้งหมด นายพันเอกพระยาพหลฯ นายพันเอกพระยาทรงสุรเดช และนายพันเอกพระยาฤทธิอัคเนย์ ได้ตั้งตนขึ้นเป็น “คณะผู้รักษาพระนครฝ่ายทหาร” และดำเนินการให้กรมพระนครสวรรค์วรพินิต ซึ่งเป็นผู้สำเร็จราชการรักษาพระนครอยู่แต่เดิม ต้องทรงออกประกาศให้ “ทหาร” ข้าราชการและราษฎรทั้งหลาย จงช่วยกันรักษาความสงบ อย่าให้เสียเลือดเสียเนื้อของคนไทยด้วยกันโดยไม่จำเป็น

จากการที่ทรงให้ “การรับรอง” คณะราษฎรนี้เอง ทำให้พระยาพหลฯ สามารถสั่งให้ “ข้าราชการทุกกระทรวงทบวง กรม มาปฏิบัติราชการตามเคย ผู้ใดละทิ้งหน้าที่จะต้องมีความผิด” พร้อมกันนี้พระยาพหลฯ ยังได้ประกาศเซ็นเซอร์หนังสือพิมพ์เป็นการชั่วคราว “เจ้าของหนังสือพิมพ์ทุกฉบับ จะต้องนำต้นเรื่องมาให้ผู้รักษาพระนครฝ่ายทหารดู ก่อนที่จะพิมพ์” ผู้ใดขัดขืน ผู้รักษาพระนครจะใช้อำนาจที่มีอยู่สั่งปิดและยึดโรงพิมพ์ทันที

ในตอนบ่ายเวลา 16.00 ของวันเดียวกันนั้นเอง คณะผู้รักษาพระนครฝ่ายทหารได้เชิญเสนาบดีและปลัดทูลฉลองของทุกกระทรวงมาประชุม เพื่อชี้แจงเรื่องการยึดอำนาจของคณะราษฎร เรื่องการจับ (เชิญ) องค์และตัวประกัน เรื่องการเสนอให้พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ ทรงยอมรับที่จะเป็นพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ

เรื่องสำคัญคือให้กระทรวงต่างประเทศชี้แจงต่อบรรดาสถานทูตต่างๆ ในกรุงเทพฯ ทั้งนี้เพื่อให้นานาประเทศเกิดความเข้าใจในสถานการณ์การเมืองภายในของไทย และเพื่อเป็นการป้องกันการแทรกแซงจากต่างประเทศ (เป็นที่น่าสังเกตว่ากรมหมื่นเทววงศ์วโรทัย ซึ่งดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงการต่างประเทศและอภิรัฐมนตรี ทรงเป็นอภิรัฐมนตรีองค์เดียวในจำนวน 5 พระองค์ที่มิได้ถูกเชิญมาเป็นองค์ประกัน) ทั้งนี้อาจเป็นเพราะผู้ยึดอำนาจไม่ต้องการให้บรรดาทูตต่างๆ ในกรุงเทพเกิดความตื่นตระหนกกันมากนัก เนื่องจากเสนาบดีที่ติดต่อเกี่ยวข้องกับตนมิได้ถูกจับกุมก็เป็นได้ ส่วนอภิรัฐมนตรีอีกองค์คือ กรมพระกำแพงเพชรอัครโยธิน เสนาบดีกระทรวงพาณิชย์และคมนาคมนั้นสามารถหลบหนีการจับกุมและเดินทางไปถึงหัวหินได้ การประชุมทำความเข้าใจกับเจ้ากระทรวงต่างๆ สิ้นสุดลงภายในเวลา 2 ชั่วโมง

ในวันเดียวกันนั้น คณะราษฎรได้ส่ง น.ต.หลวงศุภชลาศัย (หนึ่งใน 102 นายของคณะราษฎร) ไปกับเรือรบหลวงสุโขทัย พร้อมกับหนังสือกราบบังคมทูลที่มีข้อความหนักแน่นว่า “ได้เชิญสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ มีสมเด็จพระเจ้าพี่ยาเธอเจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์วรพินิต เป็นต้น ไว้เป็นประกันแล้ว หากคณะราษฎรนี้ถูกทำร้ายด้วยประการใดๆ ก็จะต้องทำร้ายเจ้านายที่คุมไว้เป็นการตอบแทน” และยื่นข้อเสนอให้ “ทรงเป็นกษัตริย์ต่อไป โดยอยู่ใต้รัฐธรรมนูญการปกครองแผ่นดินที่คณะราษฎรได้สร้างขึ้น” หากทรง “ตอบปฏิเสธก็ดี หรือไม่ตอบภายใน 1 ชั่วนาฬิกา นับแต่ได้รับหนังสือนี้ก็ดี คณะราษฎรจะได้ประกาศใช้ธรรมนูญการปกครองแผ่นดิน โดยจะเลือกเจ้านายพระองค์อื่นที่เห็นสมควรขึ้นเป็นกษัตริย์”

เป็นที่น่าสังเกตว่า หนังสือฉบับนี้มีข้อความแตกต่างจาก “คำประกาศคณะราษฎร ฉบับที่ 1” ที่กล่าวไว้ว่าหากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ ทรงปฏิเสธ คณะราษฎรจะจัดให้มีการปกครองแบบ “ประชาธิปไตย” โดยที่ประมุขของประเทศจะเป็นบุคคลสามัญซึ่งสภาผู้แทนราษฎรได้เลือกขึ้นมาให้อยู่ในตำแหน่งตามเวลาที่กำหนด (ซึ่งโดยนัยแล้วหมายถึงการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการปกครองให้มีลักษณะเป็น “สาธารณรัฐ” นั่นเอง ดังนั้น โดยนัยความหมายของคำว่า “ประชาธิปไตย” ในตอนนี้ น่าจะมีความหมายใกล้เคียงกับคำว่า “สาธารณรัฐ” ในเวลาเดียวกันด้วย)

พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ ได้ทรงประชุมกับพระบรมวงศานุวงศ์และข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ที่อยู่ด้วยกันที่หัวหินในเวลานั้น อาทิ สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี สมเด็จกรมพระสวัสดิวัดนวิศิษฎ์ พระสัสสุระ (พ่อตา) กรมพระกำแพงเพชรฯ (ที่เสด็จหนีการจับกุมมาได้) พลเรือเอกกรมหลวงสิงหวิกรมเกรียงไกร เสนาบดีกระทรวงกลาโหม พลโทพระองค์เจ้าอลงกฎ รองเสนาบดีกระทรวงกลาโกม พลตรีพระยาพิชัยสงคราม แม่ทัพที่ 1 เป็นต้น

ที่ประชุมได้พยายามหาทางออกต่างๆ ตั้งแต่ให้หนีลงใต้ไปทางหาดใหญ่และมลายู เพื่อถ่วงเวลาในการเจรจาต่อรองกับคณะราษฎร หรือไม่อีกทางหนึ่งก็ให้ลุกขึ้นสู้ เนื่องจากทหารในหัวเมืองนั้น ส่วนใหญ่ยังคงจงรักภักดีอยู่ อย่างไรก็ตาม ในท้ายที่สุดพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ ทรงตัดสินพระทัยยินยอมทำตามข้อเสนอของคณะราษฎร  โดยทรงมีพระราชหัตถเลขาตอบในวันรุ่งขึ้น คือ วันเสาร์ที่ 25 มิถุนายน ว่าการที่ “คณะทหารมีความปรารถนาจะเชิญให้ข้าพเจ้ากลับพระนคร เพื่อเป็นกษัตริย์อยู่ใต้พระธรรมนูญการปกครองแผ่นดินนั้น ข้าพเจ้าเห็นแก่ความเรียบร้อยของอาณาประชาราษฎร์ ไม่อยากให้เสียเลือดเนื้อ” และเนื่องจากพระองค์เอง “ได้คิดอยู่แล้วที่จะเปลี่ยนแปลงทำนองนี้”

ที่สำคัญหากพระองค์ “จะไม่ยอมรับเป็นตัวเชิด” นานาประเทศคงจะไม่ให้การรับรองรัฐบาลใหม่นี้เช่นกัน ในคืนเดียวกันนั้นเองพระองค์ได้เสด็จพระราชดำเนินกลับกรุงเทพฯ โดยรถไฟ แทนที่จะเสด็จกลับโดยเรือหลวงสุโขทัยตามคำเรียกร้องของคณะราษฎร โดยมาถึงสถานีจิตรลดา เวลา 0.37 น. ของวันอาทิตย์ที่ 26 มิถุนายน

ในวันที่ 26 มิถุนายน เวลา 11.00 น. คณะราษฎรจำนวน 6 นาย ประกอบด้วย พ.ท.พระประศาสน์พิทยายุทธ พ.ต.หลวงวีรโยธิน หลวงประดิษฐ์มนูธรรม นายประยูร ภมรมนตรี นายจรูญ ณ บางช้าง นายสงวน ตุลารักษ์ (โดยไม่มีคณะผู้รักษาพระนครฝ่ายทหารรวมอยู่ด้วย) และพล.ร.ต.พระยาศรยุทธเสนี (ซึ่งมิได้เป็นคณะราษฎร) ได้เข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ โดยมีจุดประสงค์ให้ลงพระปรมาภิไธยในเอกสารสำคัญ 2 ฉบับ คือ “ร่างพระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยาม และ ร่างพระราชกำหนดนิรโทษกรรม ซึ่งจะมีผลให้การกระทำทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นบุคคลใดในคณะราษฎรนี้ หากว่าจะเป็นการละเมิดกฎหมายใดๆ ก็ดี ห้ามมิให้ถือว่าเป็นการละเมิดกฎหมายเลย”

พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ ทรงลงพระปรมาภิไธยในร่างพระราชกำหนดนิรโทษกรรมในวันเดียวกันนั้น ถือเป็นการเริ่มประเพณีทางการเมืองของไทยที่เมื่อมีการยึดอำนาจโดยการใช้กำลังทางทหารแล้ว จะต้องมีการออกกฎหมายนิรโทษกรรมให้แก่ผู้ที่ยึดอำนาจได้สำเร็จตามมาทันที แต่ร่างพระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองฯ ทรงขอไว้พิจารณาอีกวันหนึ่ง เนื่องจากปัญหา “ความเป็นประชาธิปไตย” ของกฎหมายสูงสุดฉบับแรกที่จะออกมาอย่างเป็นทางการนี้ ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการต่อรองอำนาจทางการเมืองระหว่างฝ่ายเจ้ากับคณะราษฎร

ในที่สุดได้ลงพระปรมาภิไธยในวันรุ่งขึ้น (วันจันทร์ที่ 27 มิถุนายน) แต่ได้เติมคำว่า “ชั่วคราว” เข้าไปด้วย โดยถือว่าจะต้องมีการร่างฉบับ “ถาวร” ขึ้นมาใหม่ภายในเวลา 6 เดือน เพื่อให้รัดกุมและเป็นที่ยอมรับของทั้งฝ่ายพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ และฝ่ายของคณะราษฎร

กล่าวได้ว่าฉากแรกของการยึดอำนาจการปกครองจบลงได้ในเวลา 4 วัน โดยที่คณะราษฎรสามารถยึดอำนาจได้อย่างสงบเรียบร้อย ในขณะที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ ทรงประนีประนอมยอมรับการสิ้นสุดของระบอบเก่าพร้อมกับการเริ่มต้นขึ้นของระบอบใหม่ และสยามก็ได้มี “พระมหากษัตริย์ที่อยู่ภายใต้ธรรมนูญการปกครองแผ่นดิน” ตามจุดมุ่งหมายของคณะราษฎร โดยมี “พระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว” ฉบับ 27 มิถุนายน 2475 ที่เน้นว่า “ชั่วคราว” นั้น เพราะเป็นการร่างขึ้นมาอย่างรีบร้อน (โดยหลวงประดิษฐ์มนูธรรม) ภายหลังจากการยึดอำนาจได้ แต่ยังไม่ได้รับความเห็นชอบจากฝ่ายเจ้านายหรือขุนนางทั่วไปที่ยอม “ประนีประนอม” กับการยึดอำนาจครั้งนั้น ดังนั้น รัฐธรรมนูญฉบับ 27 มิถุนายน จึงดูเสมือนเป็นแค่ฉบับเฉพาะของคณะราษฎรเท่านั้น

ในวันอังคารที่ 28 มิถุนายน (วันที่ห้า) หลังจากที่ได้มาซึ่งรัฐธรรมนูญ จึงมีการเปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎรขึ้นเป็นครั้งแรก (มีการเชิญกระแสรับสั่งของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ มาเปิดประชุม) พระยาพหลฯ หัวหน้าคณะผู้รักษาพระนครฝ่ายทหารได้ใช้อำนาจตามรัฐธรรมนูญแต่งตั้งผู้แทนราษฎร (ชั่วคราว) จำนวน 70 นาย ในจำนวนนี้เป็นคนของฝ่ายคณะราษฎร 32 นาย ที่เหลือเป็นขุนนางในระบบเก่าระดับเจ้าพระยา 3 ท่าน พระยา 21 ท่าน (หรือพิจารณาด้านบรรดาศักดิ์โดยรวมพระยาที่เป็นคณะราษฎรด้วย รวมแล้วเจ้าพระยาและพระยามีจำนวน 1 ใน 3 ของจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้งหมด) พระ 5 ท่าน หลวง 19 ท่าน ฯลฯ กล่าวได้ว่าการยึดอำนาจเมื่อ 24 มิถุนายนนั้น ส่วนใหญ่ข้าราชการที่ยึดอำนาจมีบรรดาศักดิ์เป็นหลวง แต่เมื่อมีการตั้งสถาบันทางนิติบัญญัติขึ้นมาแล้ว ดูเหมือนจะโอนอำนาจนั้นกลับไปที่ขุนนางระดับพระยา

หัวหน้าคณะผู้รักษาการพระนครฯ ยังได้มอบอำนาจการปกครองแผ่นดินที่คณะราษฎรยึดไว้เมื่อ 4 วันก่อน ให้แก่สภาผู้แทนราษฎร และสภาได้เลือกเจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี (อดีตเสนาบดีกระทรวงธรรมการในสมัยรัชกาลที่ 6) ขึ้นเป็นประธานสภาผู้แทนราษฎรคนแรก มีหลวงประดิษฐ์มนูธรรมเป็นเลขาธิการสภาฯ โดยบทบาทสำคัญของสภาผู้แทนราษฎรในวันนั้น คือ การเลือกและแต่งตั้งผู้ที่จะมาดำรงตำแหน่งใหม่ที่เรียกว่า ประธานคณะกรรมการราษฎร (เทียบเคียงได้กับนายกรัฐมนตรี) และกรรมการราษฎร 14 นาย (เทียบเคียงได้กับรัฐมนตรี) จากสมาชิกสภาฯ กับการดำเนินการแต่งตั้งกรรมการร่างรัฐธรรมนูญฉบับถาวร (เดิมตั้งกรรมการ 7 นาย และมาเพิ่มเป็น 9 นาย ในภายหลัง)

กรรมการจะต้องร่างรัฐธรรมนูญให้แล้วเสร็จภายในเวลา 6 เดือน การเลือกประธานคณะกรรมการราษฎรครั้งนั้น ปรากฏว่าพระยามโนปกรณ์นิติธาดา ซึ่งในขณะนั้นมีอายุ 48 ปี ได้เป็นประธานฯ โดยตามประวัตินั้นหลังจากจบการศึกษาจากโรงเรียนกฎหมาย กระทรวงยุติธรรม ท่านได้ทุนไปศึกษาต่อ ณ ประเทศอังกฤษ อีกทั้งยังมีภริยาซึ่งเคยเป็นนางสนองพระโอษฐ์ของสมเด็จพระบรมราชินีรำไพพรรณีอีกด้วย และในขณะที่มีการยึดอำนาจนั้นท่านได้ดำรงตำแหน่งเป็นองคมนตรีและอธิบดีศาลอุทธรณ์

เป็นที่น่าสังเกตว่า นี่เป็นการยึดอำนาจในประเทศไทยครั้งแรก ที่มีการประนีประนอมกันในภายหลังด้วยวิธีการเลือกนักกฎหมายที่มีความใกล้ชิดกับราชสำนักขึ้นมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ดังจะเห็นได้จากกรณีของ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช นายสัญญา ธรรมศักดิ์ และนายธานินทร์ กรัยวิเชียร ในเวลาต่อมา

สรุปได้ว่าภายใน 5 วันหลังจากการยึดอำนาจ คณะราษฎรสามารถได้มาซึ่งรัฐธรรมนูญ สภาผู้แทนราษฎร และรัฐบาลใหม่ ส่วนอำนาจทางการเมืองและการปกครองได้ถ่ายย้ายจากองค์พระมหากษัตริย์มาสู่สถาบันการเมืองใหม่ๆ ในขณะเดียวกันผู้นำฝ่ายทหารของคณะราษฎรยังได้เข้ามาควบคุมตำแหน่งสำคัญๆ ในกองทัพบก ทั้งนี้เพื่อความอยู่รอดของตน และเพื่อใช้เป็นฐานสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงใหม่ครั้งนี้

การลงพระปรมาภิไธยในพระราชกำหนดนิรโทษกรรมฯ ของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ โดยไม่รีรอ ยังถือเป็นการประนีประนอมทางการเมืองระหว่างผู้นำในระบอบเก่ากับกลุ่มผู้นำในระบอบใหม่ ส่วนพระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยาม พ.ศ. 2475 นั้น พระองค์ยังไม่ตัดสินพระทัยลงพระปรมาภิไธยและมีพระราชประสงค์ขอดูก่อน ซึ่งในกรณีของพระราชกำหนดนิรโทษกรรมฯ นั้น หากพระองค์ทรงเลือกไม่ลงพระปรมาภิไธย จะส่งผลต่อคณะราษฎรเป็นอย่างมาก เพราะอย่างน้อยที่สุดการไม่ลงพระปรมาภิไธยมีหมายความว่า สถาบันทางการเมืองในระบอบใหม่ไม่สามารถเกิดขึ้นได้ และสิ่งที่น่ากังวลยิ่งกว่า คือ ความมั่นคงของคณะราษฎรเอง รวมถึงสถานการณ์ทางการเมืองต่างๆ ที่ไม่สามารถคาดเดาได้ว่าจะเกิดความรุนแรงขึ้นหรือไม่

พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ ทรงอธิบายถึงข้อจำกัดทางการเมืองที่พระองค์ต้องประสบในขณะที่ทรงครองราชย์ในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ เอาไว้ในบันทึกของเจ้าพระยามหิธร ความว่า …

“… ทรงเห็นว่าควรจะต้องให้ Constitution มาตั้งแต่รัชกาลที่ 6 แล้ว และเมื่อทรงรับราชสมบัติ ก็มั่นพระราชหฤทัยว่าเป็นหน้าที่ของพระองค์ที่จะให้ Constitution แก่สยามประเทศ ครั้นเมื่อพระยากัลยาณไมตรี (F.B. Sayre) เข้ามา ได้ทรงปรึกษาร่างโครงขึ้น แต่ไม่ได้รับความเห็นชอบจากอภิรัฐมนตรี

ในส่วนพระราชดํารินั้น ในขั้นต้นอยากจะทำทั้ง 2 ทาง คือทั้งล่างและบน โดยข้างล่างจะจัดให้มีเทศบาลทำหน้าที่สอนราษฎรให้รู้จักเลือกผู้แทน จึงโปรดให้กรมร่างกฎหมายขึ้นดังที่หลวงประดิษฐ์ฯ ทราบอยู่แล้ว แต่การณ์ก็ช้าไป ส่วนข้างบนได้ทรงตั้งกรรมการองคมนตรีขึ้นมาเพื่อฝึกสอนข้าราชการ เพราะเห็นว่าพูดจากันไม่ค่อยเป็น จึงตั้งที่ประชุมขึ้น เพื่อหวังจะให้มีที่คิดอ่านและพูดจากัน

เมื่อครั้งเสด็จไปอเมริกาได้ให้ interview ไว้ว่าจะให้ Constitution และเมื่อเสด็จกลับมายิ่งรู้สึกแน่ชัดว่า หากจะกักไว้อีกก็ถือว่าไม่สมควรเป็นแน่แท้ จึงได้หารือกับนายสตีเวนส์ แต่นายสตีเวนส์กลับตอบว่า ยังไม่ถึงเวลา ฝ่ายพระยาศรีวิสารฯ ที่โปรดให้ปรึกษาด้วยอีกผู้หนึ่ง ก็ influenceไปด้วยกับนายสตีเวนส์ เมื่อพระยาศรีวิสารฯ และนายสตีเวนส์ ขัดข้องเสียดังนี้ การก็เลยเหลวอีก …

ถึงกระนั้นก่อนเสด็จไปหัวหิน ยังได้ทรงพระราชดําริอีกที่จะให้มี Prime Minister ให้มีสภา interpolate เสนาบดีได้ให้ถวายฎีกาขอเปลี่ยนเสนาบดีได้ และให้มีผู้แทนจากหัวเมือง แต่ว่าคละอย่างๆ จะเป็นได้ก็ลําบากเหลือเกิน หวังว่าจะเห็นด้วยว่าพระองค์ยากที่จะขัดผู้ใหญ่ ที่ได้ทำการมานานตั้ง 20 ปีก่อนพระองค์ …”

นอกจากนี้ ยังทรงมีรับสั่งเกี่ยวกับประกาศของคณะราษฎร และความตั้งพระราชหฤทัยของพระองค์ ที่จะไม่ทรงยุ่งเกี่ยวกับการเมืองอีก ความว่า

“… ในวันนั้นได้ทรงฟังประกาศของคณะราษฎรทางวิทยุ ทรงโทมนัสและทรงเจ็บพระทัยมากเพราะคำกล่าวหาอันร้ายกาจนั้นไม่ได้เป็นความจริงเลย … ในประกาศของคณะราษฎรที่กล่าวหาว่าพระองค์แต่งตั้งแต่คนสอพลอนั้น ไม่เป็นความจริง เพราะพระองค์ได้ทรงปลดคนที่โกงออกก็มากอยู่ แต่ลำพังแค่พระองค์ๆ เดียวจะเที่ยวไปจับคนโกงให้หมดบ้านหมดเมืองได้อย่างไร แม้คณะนี้ก็คอยดูไปเถอะ คงจะได้พบคนโกงเหมือนกัน

ทรงเชื่อว่าพระราชวงศ์ทุกพระองค์ได้ตั้งพระทัยช่วยราชการโดยจริง ที่ว่าเอาราษฎรเป็นทาสหรือว่าหลอกลวงก็ไม่จริง และถือเป็นความเสียหายอย่างยิ่ง แต่อาจจะเป็นได้ว่าการปฏิบัติการนั้นช้าเกินไป ที่ว่าราษฎรช่วยกันกู้ประเทศนั้นก็เป็นความจริง แต่พระราชวงศ์จักรีเป็นผู้นํา และผู้นํานั้นมีความสำคัญ เสียใจที่ได้ทิ้งเสีย ไม่กล่าวถึงพระคุณควบไปด้วย เป็นการเท่ากับด่าถึงบรรพบุรุษ เพราะฉะนั้นเสียใจมาก …

… เมื่อเขียนประกาศทําไมไม่นึก เมื่อจะอาศัยกัน ทําไมไม่พูดให้ดีกว่านั้น และเมื่อพูดทั้งนั้นแล้วทําไมไม่เปลี่ยนเป็น Republic เสียทีเดียว ทั้งนี้ไม่ทรงทราบว่าใครเป็นผู้เขียนประกาศนั้น แต่ทรงคิดว่าหลวงประดิษฐ์มนูธรรมเป็นผู้เขียน จึงทรงต่อว่าการเขียนประกาศและการกระทำของคณะราษฎร เปรียบเช่นการเอาผ้ามาจะทำธง แต่เอามาเหยียบย่ำเสียให้เปรอะเปื้อนแล้วจึงเอามาชักขึ้นเป็นธง เช่นนี้จะเป็นเกียรติยศงดงามแก่ชาติหรือ จึงทรงรู้สึกว่าจะรับเป็นกษัตริย์ต่อไปก็ไม่ควร … จึงมีพระราชประสงค์จะออกเสีย เพราะรู้สึกว่าเสีย credit ทุกชั้น ทำให้คนเกลียดหมด แต่จะทรงยอมอยู่ไปจนกว่าเหตุการณ์จะสงบ … เมื่อการงานของประเทศเรียบร้อยแล้ว ขออนุญาตไปพักผ่อนเงียบๆ ไม่ได้ต้องการเงินทอง ขอแต่ให้ได้ใช้สอย ทรัพย์สมบัติเดิมที่ได้รับพระราชทานจากสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงพอกินไป …”

แต่ท้ายที่สุด พระองค์ได้ทรงลงพระปรมาภิไธยในวันที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2475 ซึ่งได้ประกาศใช้ในวันดังกล่าว โดยพระองค์ทรงเติมคำว่า “ชั่วคราว” ลงไป รวมถึงมีพระราชกระแสรับสั่งแก่คณะราษฎรว่าให้ใช้ พ.ร.บ. ธรรมนูญฯ นี้เป็นการชั่วคราว โดยให้เสนอสภาผู้แทนราษฎรตั้งคณะอนุกรรมการร่างรัฐธรรมนูญฉบับถาวร เพื่อปรับปรุงข้อกฎหมายและข้อบังคับต่างๆ ให้มีเสถียรภาพมากขึ้น

จากบันทึกทางประวัติศาสตร์นี้ เห็นได้ว่าหลังการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครอง มีความพยายามในการรอมชอมกันเป็นอย่างมากระหว่างรัฐบาลใหม่กับในหลวง ร.7 โดยพยายามปรับตัวเข้าหากันและหลีกเลี่ยงการกระทบกระทั่ง แม้ในหลวง ร.7 จะได้รับคำแนะนำให้สู้ แต่เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองและการพระราชทานรัฐธรรมนูญนี้ ก็เป็นความประสงค์ของพระองค์มาตั้งแต่ต้นเช่นกัน ประกอบกับการลงมือก่อการของคณะราษฎรที่อาจถูกปัจจัยภายนอกเข้ามาแทรกแซง นั่นคือการที่ต่างประเทศไม่ยอมรับรัฐบาลใหม่ ในหลวง ร.7 จึงตัดสินพระทัยเลือกหนทางการประนีประนอม และให้ความร่วมมือกับรัฐบาลคณะราษฎรท่ามกลางเสียงคัดค้านของพระบรมวงศานุวงศ์บางส่วน การรอมชอมระหว่างพระองค์กับผู้ก่อการในครั้งนั้น ล้วนแล้วแต่เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้การเปลี่ยนผ่านครั้งประวัติศาสตร์ของสยาม ให้ดำเนินไปได้ด้วยความสงบเรียบร้อยและปราศจากเหตุนองเลือด

ที่มา :

[1] ชาญวิทย์ เกษตรศิริ, 2475 การปฏิวัติสยาม

TOP
y

Emet nisl suscipit adipiscing bibendum. Amet cursus sit amet dictum. Vel risus commodo viverra maecenas.

r

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    คุกกี้ที่มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้งานเว็บไซต์ได้อย่างเป็นปกติ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณ เพื่อให้เราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมและความสนใจของคุณ

บันทึกการตั้งค่า