
ย้อนมอง ‘กบฏ’ ต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 อดีตที่ไม่อาจตัดสินได้ด้วยมโนทัศน์ยุคปัจจุบัน
เหตุการณ์เก่า ๆ ในหน้าประวัติศาสตร์ไทย เริ่มถูกหยิบขึ้นมาถกเถียงกันมากขึ้น โดยเฉพาะเหตุการณ์ก่อกบฏในสมัยรัชกาลที่ 5 ซึ่งเป็นเรื่องดี ที่สังคมไทยเริ่มมีการหยิบยกเหตุการณ์ขึ้นมาวิเคราะห์กันใหม่อีกครั้ง
อย่างไรก็ตาม การวิเคราะห์ประวัติศาสตร์ที่ดี ต้องยืนอยู่บนพื้นฐานของข้อเท็จจริง ตามบริบทของสังคม แนวคิด และเหตุปัจจัยของยุคสมัยนั้น ๆ และหลีกเลี่ยงการใช้ทัศนคติของคนในยุคปัจจุบันเข้ามาตัดสินเหตุการณ์ในอดีต
เพราะนั่นจะนำไปสู่การวิเคราะห์ที่ผิดพลาดและบิดเบือน
คนทุกคน เมื่ออยู่ในสถานการณ์ที่ต้องตัดสินใจ ต่างก็มีแนวคิด หลักการและเหตุผล และเงื่อนไขปัจจัยของตนเองทั้งสิ้น
คุณค่าที่แท้จริงของวิชาประวัติศาสตร์ ไม่ได้อยู่ที่การตัดสินความถูกผิดของบุคคลแต่ละคนบนหน้าประวัติศาสตร์ แต่คือการเรียนรู้เงื่อนไขปัจจัยที่ทำให้เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้น เพื่อป้องกันการเกิดซ้ำของโศกนาฏกรรมที่จะนำมาซึ่งความสูญเสียของมนุษยชาติต่างหาก
—
ในมุมมองด้านการเมือง การก่อกบฏ คือการต่อสู้ทางการเมืองลักษณะหนึ่ง ซึ่งในมุมมองของรัฐและผู้ปกครองยุคเก่า การต่อต้านขัดขืนอำนาจรัฐ ถือว่าเป็นการก่อกบฏทั้งสิ้น
ในขณะที่มุมมองของยุคสมัยใหม่ มีการแบ่งแยกรูปแบบการต่อต้านอำนาจรัฐในหลากหลายรูปแบบมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการต่อต้านด้วยการใช้กองกำลังและความรุนแรง อย่างการก่อรัฐประหาร, การก่อการร้าย หรือการก่อวินาศกรรม หรือการประท้วงอย่างสันติ หรือการก่อการจลาจลโดยประชาชน
ซึ่งการตัดสินลงโทษ ตามกระบวนทัศน์ในยุคสมัยใหม่นั้น มีโทษลดหลั่นกันไปตามระดับความรุนแรง และเจตนาในการล้มล้างระบอบการปกครอง
ในขณะที่ในอดีตนั้น การพูดจาท้าทายหรือลบหลู่อำนาจรัฐ ถูกมองว่าเป็นอาชญากรรม และโทษของการก่อการขัดขืนนั้น อาจถึงขั้นประหารชีวิต
—
คริสต์ศตวรรษที่ 20 ถือเป็นศตวรรษที่แนวคิดเสรีนิยมเริ่มเบ่งบาน และถูกเรียกขานในแง่ร้ายว่า “ศตวรรษแห่งการก่อกบฏ” เนื่องจากเป็นยุคสมัยแห่งการเปลี่ยนถ่ายจากยุค ”อำนาจนิยม” ไปสู่ยุคสมัยแห่ง “เสรีนิยม”
เงื่อนไข และปัจจัยที่ทำให้เสรีนิยมสามารถเจริญเติบโตและเบ่งบานได้นั้น เป็นผลกระทบจาก “ปฏิวัติอุตสาหกรรม”
การปฏิวัติอุตสาหกรรม ในชาติตะวันตก ทำให้เกิดการเคลื่อนย้ายแรงงานจากภาคเกษตรกรรม ที่เคยอยู่ในความควบคุมดูแลของเหล่าขุนนางศักดินา มาสู่ภาคอุตสาหกรรมในความควบคุมดูแลของเหล่านายทุน
การพัฒนาเทคโนโลยีการสื่อสารและการคมนาคม ในด้านหนึ่ง ช่วยสร้างเสริมขีดความสามารถของรัฐบาลกลาง ให้มีความสามารถในการควบคุมท้องถิ่นได้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ทำให้ความสามารถในการควบคุมประเทศอาณานิคมมีสูงขึ้น ซึ่งเป็นที่มาของการล่าอาณานิคม และแนวคิดจักรวรรดินิยม
แต่ในทางกลับกัน มันทำให้แนวคิดเสรีนิยมเบ่งบานและแพร่กระจายออกไปได้กว้างไกลขึ้นด้วยเช่นกัน
การต่อสู้ระหว่างกระบวนทัศน์โลกยุคเก่า และแนวคิดโลกยุคใหม่ ทำให้เกิดการต่อสู้ประหัตประหารกันในหลากหลายพื้นที่ทั่วโลก โดยเฉพาะช่วงต้นศตวรรษที่แนวคิดเสรีนิยม และสิทธิมนุษยชนเพิ่งจะเกิดเริ่มต้น ความเมตตาเอื้ออาทรในหมู่เพื่อนมนุษย์ ถูกจำกัดเอาไว้เพียงสำหรับชาวยุโรปด้วยกันเท่านั้น
การสังหารฝ่ายกบฏ ที่บางครั้งเรียกได้ว่าการ “ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์” จึงอุบัติขึ้นเป็นเรื่องปกติ ตามเงื่อนไขและปัจจัยแห่งยุคสมัยตามที่ได้กล่าวไป
—
กบฏผีบุญ หนึ่งในเหตุการณ์ก่อกบฏในไทย ซึ่งเกิดขึ้นในประเทศไทย ใน ค.ศ. 1901 ต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 ถูกวาดระบายให้ดูโหดเหี้ยมอำมหิตในสายตาของคนยุคหลัง จากการมีตัวเลขผู้เสียชีวิตมากถึง 300 คน
ซึ่ง ฤา มีบทความอธิบายไปแล้วถึงเหตุการณ์ดังกล่าว อีกทั้งตามข้อเท็จจริงในประวัติศาสตร์ กบฏผีบุญ จัดได้ว่าเป็นผู้รุกรานชาวลาว จากมุมมองของยุคสมัยใหม่
แต่ในสมัยนั้น ที่การแบ่งเขตแดนยังไม่ชัดเจน และระบบสำมะโนครัวเพิ่งจะเริ่มทำ ทางการสยามจึงไม่สามารถระบุตัวตนที่ชัดเจนของกลุ่มคนกลุ่มนี้ได้ และมองคนกลุ่มนี้ว่าเป็นโจรกบฏ ที่เผาเมือง ปล้นฆ่าราษฎร์ไทยนั่นเอง
ด้วยเหตุดังกล่าวนี้เอง ที่ทำให้รัฐบาลสยามในสมัยนั้น เห็นว่ากลุ่มกบฏกลุ่มนี้สมควรตาย
—
เราจะยังไม่ตัดสินว่าการสังหารกบฏผีบุญโดยทางการสยามนี้ โหดร้ายหรือไม่ แต่อยากให้หันมามองเหตุการณ์ก่อกบฏที่เกิดขึ้นในโลกที่น่าสนใจนับตั้งแต่ ค.ศ. 1901 เป็นต้นมาดังนี้
ค.ศ. 1904 เกิดเหตุการณ์กบฏขึ้นในอาณานิคมแอฟริกาตะวันตกเฉียงใต้ของจักรวรรดิเยอรมัน โดยชนเผ่าพื้นเมืองก่อการกบฏ ฆ่าชาวเยอรมันไป 60 คนทำให้ทางการเยอรมนีส่งทหารเข้าปราบปราม ซึ่งในช่วงเวลา 4 ปี มีชาวพื้นเมืองถูกสังหารไปราว ๆ 34,000 ถึง 110,000 คน
ค.ศ. 1906 ชาวซูลูในแอฟริกาใต้ก่อกบฏต่อเจ้าอาณานิคมอังกฤษจากการถูกขูดรีดภาษี และถูกอังกฤษเข้าปราบปราม ชาวซูลูถูกประหาร 3 – 4 พันคน, ถูกจำคุก 7 พัน และถูกเฆี่ยน 4 พันคน
ค.ศ. 1907 เกิดเหตุการณ์กบฏชาวนาในโรมาเนีย จากความไม่พอใจในความเหลื่อมล้ำด้านที่ดินทำกิน ทำให้รัฐบาลส่งกองทัพเข้าปราบปราม ถึงแม้ว่าตัวเลขอย่างเป็นทางการจะระบุว่ามีชาวนาถูกสังหารเพียง 419 คน แต่ตัวเลขอย่างไม่เป็นทางการประเมินว่ามีชาวนาเสียชีวิตนับ 10,000 คน
ค.ศ. 1911 เกิดกบฏติมอร์ตะวันออก โดยชาวติมอร์ไม่พอใจต่อการรีดภาษีและการเกณฑ์แรงงานของเจ้าอาณานิคมโปรตุเกส จึงลุกฮือขึ้นสู้ และถูกปราบปราม มีชาวติมอร์เสียชีวิต 3,424 คน และบาดเจ็บ 12,567 คน
—
ค.ศ. 1913 สหพันธ์แรงงานเหมืองแร่แห่งอเมริกา ลุกขึ้นประท้วงด้วยความไม่พอใจต่อสุขอนามัยในการทำงานที่แย่ของชาวเหมืองถ่านหินในโคโลราโด, สหรัฐอเมริกา และการประท้วงลุกลามบานปลายจนกลายเป็น “สงครามแห่งเหมืองโคโรลาโด”
มีการส่งกองกำลังพิทักษ์มาตุภูมิ (National Guard) เข้าปราบปราม และกินเวลายาวนานถึง 2 ปี
ในวันที่ 20 เมษายน ค.ศ. 1914 มีกองกำลังติดอาวุธ สวมเครื่องแบบของกองกำลังพิทักษ์มาตุภูมิ โจมตีค่ายคนงานในเมืองลุดโลว์ รัฐโคโลราโด ด้วยปืนกล และระเบิดไดนาไมต์
ถึงแม้จำนวนผู้เสียชีวิตจะมีเพียง 20 คน แต่ 12 ชีวิตที่เสียไปนั้น ยังเป็นเพียงเด็ก ซึ่งในนั้น อายุมากที่สุดเพียง 11 ปี ส่วนน้อยที่สุดนั้นเพียง 3 เดือน
สำหรับจำนวนผู้เสียชีวิตจากการประท้วงนั้น ทางการอเมริกันในเวลานั้น ไม่ใส่ใจที่จะนับจำนวนและจดบันทึก
—
ทั้งหมดนี้ คือตัวอย่างของเหตุการณ์ก่อการขัดขืนต่อต้านอำนาจของรัฐบาล หรือผู้มีอำนาจในช่วงเวลา 20 ปี นับจากเหตุการณ์ปราบกบฏผู้มีบุญ
ซึ่งจะเห็นได้ว่า ตัวเลขผู้เสียชีวิตฝ่ายผู้ก่อการนั้น หลายเหตุการณ์มีจำนวนมากกว่าของไทยมาก และความจริงแล้ว ตัวเลขเหล่านี้ ขึ้นอยู่กับจำนวนผู้ก่อการ ซึ่งอาจมีหลักสิบหรือหลักแสนคน
แต่ถึงกระนั้น สิ่งที่เห็นได้อย่างชัดเจนคือ แนวคิด “อำนาจนิยม” และความ “อำมหิต” ที่ไร้มนุษยธรรมของผู้มีอำนาจในยุคสมัยนั้น ซึ่งมักเลือกวิธีการใช้กำลังเข้าปราบปราม
แม้กระทั่ง อเมริกา ซึ่งในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 20 กลายเป็นผู้นำลัทธิเสรีนิยม และมักอ้างหลักสิทธิมนุษยชนในเวทีโลกอยู่เสมอในปัจจุบัน
แต่ในอดีต ผู้มีอำนาจของอเมริกาก็พร้อมจะใช้กำลังและอำนาจเข้าปราบปราม เข่นฆ่าแม้กระทั่งเด็กและผู้หญิงไร้ทางสู้
—
สิ่งที่เหมือนตลกร้ายคือ ค.ศ. 1913 ซึ่งเป็นปีที่เกิด “สงครามแห่งเหมืองโคโรลาโด” นั้น ในไทย ตรงกับรัชกาลที่ 6 ซึ่งเกิดเหตุการณ์ “กบฏ ร.ศ. 130” ซึ่งบรรดาผู้ก่อการทั้ง 23 คน ต่างหมายจะปลงพระชนม์พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว แต่ถูกจับได้เสียก่อนนั้น
ทั้งหมด ถูกไต่สวนในชั้นศาล ตามกระบวนการยุติธรรมสมัยใหม่ ซึ่งศาลตัดสินให้ประหารชีวิต 3 คน และอีก 20 ที่เหลือ ถูกตัดสินให้จำคุกตลอดชีวิต
ทว่า ในหลวงรัชกาลที่ 6 ทรงคัดค้านด้วยพระมหากรุณาธิคุณ และมีพระบรมราชวินิจฉัยว่า ความผิดของพวกเขาเหล่านี้มี “ข้อสำคัญที่จะกระทำร้ายต่อตัวเรา เราไม่ได้มีจิตพยาบาทอาฆาตมาดร้ายต่อพวกนี้ เห็นควรที่จะลดหย่อนผ่อนโทษโดยฐานกรุณา ซึ่งเป็นอำนาจของพระเจ้าแผ่นดินจะยกให้ได้”
จึงไม่มีใครถูกตัดสินประชีวิตเลยแม้แต่คนเดียว
—
ประวัติศาสตร์ของมนุษยชาตินั้น ผ่านกระบวนการพัฒนาเป็นลำดับขั้น ยกระดับสังคมของมนุษย์ จากความคิดที่ใกล้เคียงสัตว์เดรัจฉาน ให้ขึ้นมาเป็นสังคมที่มีความเป็นอารยะ ที่ทุกคนสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติ เสมอภาคและยุติธรรมได้นั้น
ล้วนใช้เวลาในการเพาะบ่ม พัฒนาทีละขั้น ๆ อย่างเป็นระบบตลอดเวลา
พวกเราที่เวลานี้ อยู่ในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 21 อยู่ในโลกที่พัฒนาแล้ว ซึ่งมาจากความพากเพียรพยายามของบรรพบุรุษในอดีตทั้งสิ้น
มันเป็นการไม่ยุติธรรมต่อบรรพบุรุษ ไม่ว่าจะของเรา หรือของชนชาติอื่น ที่จะถูกพิพากษาตัดสิน โดยอาศัยมโนทัศน์ของคนยุคปัจจุบัน ซึ่งไม่สอดคล้องกับกาลเวลาในสมัยนั้นเลย
สิ่งที่พวกเราพึงพิจารณาคือ เงื่อนไข และปัจจัยที่ทำให้บรรพบุรุษของเราผิดพลาด เพื่อป้องกันไม่ให้พวกเราและอนุชนรุ่นหลังนั้น ทำผิดพลาดซ้ำอีกต่างหาก
อ้างอิง :
[1] “Holy Man’s Rebellion”, Wikipedia
[2] “THE 1901-1902 “HOLY MAN’S” REBELLION”, John B. Murdoch (1971), Journal of the Siam Society
[3] “Herero Wars”, Wikipedia
[4] “Bambatha Rebellion”, Wikipedia
[5] “1907 Romanian Peasants’ Revolt”, Wikipedia
[6] “Colorado Coalfield War”, Wikipedia
[7] “Ludlow Massacre”, Wikipedia
[8] “กบฏ ร.ศ. 130”, วิกิพีเดีย