
ม.112 กฎหมายปกป้องประมุขของประเทศ หลักการที่ยังคงถูกใช้งาน และได้รับการยอมรับทั่วโลก
ประมุขแห่งรัฐ (Head of state) คือผู้แทนสูงสุดหรือผู้ดำรงตำแหน่งสูงสุดในรัฐเอกราชหนึ่งๆ และมีชื่อเรียกตำแหน่งเฉพาะแตกต่างกันไปตามระบอบการปกครองของแต่ละประเทศ เช่น พระมหากษัตริย์ หรือ ประธานาธิบดี โดยบทบาทของประมุขแห่งรัฐจะเป็นไปตามที่รัฐธรรมนูญของประเทศนั้นๆ กำหนดไว้ รวมถึงมีบทบาทเป็นสัญลักษณ์ของความสามัคคีและบูรณภาพของประเทศอีกด้วย
ดังนั้น ในฐานะประมุขแห่งรัฐ ซึ่งถือเป็นหัวใจหลักของการปกครอง ทุกประเทศจึงมีการให้ความคุ้มครองสูงสุดแก่ประมุขของตน โดยแต่ละประเทศต่างมีกฎหมายคุ้มครองประมุขแห่งรัฐ และกฎหมายคุ้มครองประมุขของประเทศอื่นพร้อมกันไปด้วย ซึ่งเป็นหลักพื้นฐานที่ได้รับการยอมรับกันในประชาคมโลก
สำหรับประเทศไทย กฎหมายคุ้มครองตำแหน่งพระมหากษัตริย์ของไทยคือ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ซึ่งตราขึ้นในปี พ.ศ. 2499 โดยจอมพล ป. พิบูลสงคราม ที่ได้ยกเลิกกฎหมายลักษณะอาญา รศ.127 และได้นำกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพแต่เดิมไปรวมอยู่ใน มาตรา 112 โดยบัญญัติว่า “ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 7 ปี”
จากนั้น พ.ศ. 2519 ในสมัย พล.ร.อ. สงัด ชลออยู่ (นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น) ได้ออกประกาศแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ. 2499 มาตรา 112 โดยแก้ไขบทบัญญัติว่า “ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 3 ปีถึง 15 ปี” และมีการประกาศใช้มาจนถึงทุกวันนี้
แต่ปัจจุบันในประเทศไทย กลับมีคนบางกลุ่มรวมถึงนักการเมืองบางพรรค พยายามที่จะสร้างกระแสเพื่อนำไปสู่การยกเลิกกฎหมาย มาตรา 112 โดยอ้างเหตุผลว่า มาตรา 112 เป็นกฎหมายที่จำกัดและลิดรอนสิทธิเสรีภาพ หรือแม้กระทั่งบิดเบือนกล่าวหาว่าเป็นอาวุธที่รัฐใช้รังแกประชาชน และในต่างประเทศไม่มีใครเขาใช้กฎหมายนี้กันแล้ว
ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริง ทั่วโลกต่างก็ยังใช้กฎหมายในลักษณะนี้อยู่ นั่นคือ กฎหมายปกป้องการหมิ่นประมาทต่อประมุขแห่งรัฐ (Head of State Defamation Law) แถมยังบังคับใช้อย่างจริงจังและรุนแรงอีกด้วย
ดังนั้น การออกมาชักชวนหรือกระทั่งบีบบังคับให้ยกเลิก มาตรา 112 ของคนบางกลุ่มด้วยเหตุผลข้างต้น จึงเป็นการ “โกหก” เพื่อหวังผลนำไปสู่การทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งถือเป็นหัวใจหลักของระบอบการปกครอง
เราลองมาดูตัวอย่างกฎหมายคุ้มครองประมุขแห่งรัฐ และกฎหมายปกป้องการหมิ่นประมาทต่อประมุขแห่งรัฐในต่างประเทศกันดีกว่า ว่าเขามีการบังคับใช้กฎหมายและมีบทลงโทษอย่างไรบ้าง
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรนอร์เวย์ ปี 1814 มาตรา 5 บัญญัติไว้ว่า The King’s person is sacred; he cannot be censured or accused. The responsibility rests with his Council. (องค์พระมหากษัตริย์ทรงเป็นที่เคารพสักการะ และจะถูกกล่าวหาหรือตรวจสอบมิได้)
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรเดนมาร์ก ปี 1953 มาตรา 13 บัญญัติไว้ว่า The King shall not beanswerable for his actions; his person shall be sacrosanct. The Ministers shall be responsible for the conduct of government; their responsibility shall be defined by statute. (พระมหากษัตริย์ไม่ต้องทรงรับผิดชอบจากการกระทำ องค์พระมหากษัตริย์ทรงเป็นที่เคารพสักการะรัฐมนตรีจะต้องรับผิดชอบต่อการกระทำของรัฐบาลนั้นความรับผิดชอบของพวกเขาจะถูกกำหนดโดยพระราชบัญญัติ)
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรเบลเยี่ยม ปี 1970 มาตรา 88 บัญญัติไว้ว่า The King’s person isinviolable; his ministers are accountable. (องค์พระมหากษัตริย์ทรงดำรงอยู่ในฐานอันละเมิดมิได้ รัฐมนตรีต้องรับผิดชอบแทนพระมหากษัตริย์)
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสเปน มาตรา 56 (3) บัญญัติไว้ว่า King is inviolable and shallnot be held accountable. His acts shall always be countersigned in the manner established in Article 64. (องค์พระมหากษัตริย์ทรงดำรงอยู่ในฐานะอันละเมิดมิได้ และไม่ต้องทรงรับผิดชอบใดๆ ทางการเมือง)
รัฐธรรมนูญแห่งราชรัฐลักเซมเบิร์ก มาตรา 4 บัญญัติไว้ว่า La personne du Grand-Duc estinviolable. (องค์แกรนด์ดยุกทรงดำรงอยู่ในฐานะอันละเมิดมิได้)
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักภูฎาน มาตรา 2 (3) บัญญัติไว้ว่า 3. The title to the GoldenThrone of Bhutan shall vest in the legitimate descendants of Druk Gyalpo Ugyen Wangchuck asenshrined in the inviolable. (ราชบัลลังก์ของภูฏานจะมอบให้รัชทายาทที่ถูกต้องตามกฎหมายของพระเจ้า Druk Gyalpo Ugyen Wangchuck ซึ่งอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพไม่สามารถที่จะล่วงละเมิดได้)
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรฮัชไมด์จอร์แดน มาตรา 30 บัญญัติไว้ว่า The King is the Head of the State and is immune from any liability and responsibility. (พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขแห่งรัฐและได้รับการยกเว้นจากความผิดและความรับผิดชอบใดๆ)
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา มาตรา 7 บัญญัติไว้ว่า The King of Cambodia shallreign but shall not govern. The King shall be the Head of State for life. The King shall be inviolable.(พระมหากษัตริย์ครองราชย์สมบัติ แต่ไม่ทรงยุ่งเกี่ยวทางการเมือง พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขแห่งรัฐ และพระมหากษัตริย์ทรงเป็นที่เคารพ และจะถูกล่วงละเมิดมิได้
รัฐธรรมนูญแห่งญี่ปุ่น มาตรา 1 The Emperor shall be the symbol of the State and the unity ofthe people, deriving his position from the will of the people with whom resides sovereign power.(องค์สมเด็จพระจักรพรรดิทรงเป็นเครื่องแสดงแห่งรัฐ และความสามัคคีของคนในรัฐ ตำแหน่งของพระองค์ได้มาจากประชาชน และผู้ใช้อำนาจอธิปไตย)
รัฐธรรมนูญแห่งมาเลเซีย มาตรา 32(1) There shall be a Supreme Head of the Federation, to becalled the Yang di-Pertuan Agong, who shall take precedence over all persons in the Federation and shall not be liable to any proceedings whatsoever in any court. (ให้เรียกผู้นำสูงสุดว่า ยังดี-เปอร์ตวน อากง ซึ่งเป็นผู้ที่มีฐานะสูงสุดกว่าบุคคลในสมาพันธรัฐทุกคน และไม่ต้องรับผิดชอบต่อการกระทำใดใด
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรเลโซโธ มาตรา 44 (1) There shall be a King of Lesotho whoshall be a constitutional monarch and Head of State. ( พระมหากษัตริย์แห่งเลโซโธ นั้นเป็นประมุขของราชอาณาจักร เลโซโธ ที่ปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข)
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักสวาซีแลนด์ มาตรา 4 (1) King ( iNgwenyama )of Swazilandis an hereditary Head of State and shall have such official name as shall be designated on the occasion of his accession to the Throne. (พระมหากษัตริย์แห่งสวาซีแลนด์ เป็นประมุขแห่งรัฐ โดยสืบสายมาจากบรรพบุรุษ และ ต้องมีชื่ออย่างเป็นทางการ หลังจากได้รับการแต่งตั้งให้ครองราชย์สมบัติ)
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสวีเดน มาตรา 7 The King cannot be prosecuted for hisactions. Neither can a Regent be prosecuted for his actions as Head of State. (พระมหากษัตริย์ นั้นไม่สามารถถูกฟ้องร้องจากการกระทำของพระองค์ และผู้สำเร็จราชการก็เช่นเดียวกับประมุขแห่งรัฐ)
หรือแม้แต่บางประเทศในประมวลกฎหมายอาญา ก็ยังมีกฎหมายหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ เหมือนของประเทศไทยเช่นเดียวกัน อาทิเช่น
นอร์เวย์ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 101 ผู้กระทำความผิดฐานใช้ความรุนแรงหรือทำร้ายร่างกายอื่นๆ ต่อพระมหากษัตริย์หรือผู้สำเร็จราชการหรือรัชทายาทจะต้องรับผิดชอบต่อการจำคุกในระยะไม่น้อยกว่าสองปี ถ้าบาดเจ็บสาหัสกายหรือสุขภาพ, มีโทษจำคุกในระยะไม่เกิน 21 ปี
เนเธอร์แลนด์
มาตรา 111 : การเจตนาดูหมิ่นดูแคลนพระมหากษัตริย์นั้นจะได้รับโทษ กักขังสูงสุด 5 ปี และหรือปรับเป็นเงินในชนิดที่สี่
มาตรา 112 : การเจตนาดูหมิ่นดูแคลนพระราชินี รัชทายาทและคู่สมรสของรัชทายาท มีโทษกักขังสูงสุด 4 ปี และหรือปรับเป็นเงินในชนิดที่สี่
มาตรา 113 : ผู้เขียน ผู้เปิดเผย หรือจำหน่าย สิ่งที่มีเนื้อหาที่ดูถูก ดูแคลน แก่ พระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาทและคู่สมรสของรัชทายาท หรือผู้ที่มีในครอบครอง และมีส่วนในการกระทำเหล่านี้ มีโทษกักขังสูงสุด 1 ปี และหรือปรับเป็นเงินในชนิดที่สาม
เบลเยี่ยม การล่วงละเมิดหมิ่นประมาทต่อพระมหากษัตริย์ถือเป็นอาชญากรรม ซึ่งมีโทษจำคุกสูงสุด 3 ปี ส่วนการหมิ่นประมาทราชวงศ์ มีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี
เดนมาร์ก ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 115 ผู้กระทำความผิดฐานหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์หรือหัวหน้ารัฐบาล มีโทษจำคุกสูงสุด 4 ปี และผู้กระทำความผิดฐานดูหมิ่นราชินี หรือทายาท มีโทษจำคุกสูงสุด 3 ปี
ฝรั่งเศส ผู้กระทำความผิดฐานหมิ่นประมาทประธานาธิบดี มีโทษปรับ 45,000 ยูโร (ประมาณ 1 ล้าน 6 แสนบาท)
เยอรมัน การดูหมิ่น หมิ่นประมาทประธานาธิบดีถือเป็นอาชญากรรม และมีโทษจำคุกตั้งแต่ 3 เดือน ถึง 5 ปี
กรีซ ผู้กระทำความผิดฐานดูหมิ่น หมิ่นประมาทประธานาธิบดี มีโทษจำคุก 3 เดือน และกฎหมายของกรีซยังอนุญาตให้ยึดสื่อหรือสิ่งพิมพ์ใดๆ ที่ถือว่าดูหมิ่นประธานาธิบดี
ไอซ์แลนด์ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 101 ผู้กระทำความผิดฐานหมิ่นประมาทประธานาธิบดี มีโทษจำคุกสูงสุด 4 ปี
อิตาลี ผู้กระทำความผิดฐานหมิ่นประมาทประธานาธิบดี มีโทษจำคุกตั้งแต่ 1 ถึง 5 ปี และการหมิ่นประมาทโดยสื่อมวลชนยังถือเป็นความผิดตามกฎหมายของสื่อมวลชน มีโทษจำคุกสูงสุด 6 ปี
โปแลนด์ ผู้กระทำความผิดฐานหมิ่นประมาทประมุข มีโทษจำคุก 3 ปี
โปรตุเกส ผู้กระทำความผิดฐานหมิ่นประมาทประธานาธิบดี มีโทษจำคุกสูงสุด 3 เดือน หรือถูกปรับ และการหมิ่นประมาทโดยสื่อมวลชน มีโทษจำคุกตั้งแต่ 6 เดือน ถึง 3 ปี
สโลวีเนีย ผู้กระทำความผิดฐานหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือใส่ร้ายป้ายสีด้วยข้อกล่าวหาอันเป็นเท็จเกี่ยวกับอาชญากรรมต่อประธานาธิบดีถือเป็นความผิดทางอาญา มีโทษปรับหรือจำคุกไม่เกิน 1 ปี
สเปน ผู้กระทำความผิดฐานใส่ร้าย หรือหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ พระราชินี ผู้สืบราชสันตติวงศ์ หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ มีโทษจำคุก 6 เดือน ถึง 2 ปี
สวีเดน ผู้กระทำความผิดฐานดูหมิ่น หมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ หรือสมาชิกราชวงศ์ มีโทษจำคุกสูงสุด 4 ถึง 6 ปี
จะเห็นได้ว่า ประเทศต่างๆ ทั่วโลกต่างมีกฎหมายคุ้มครองประมุขของประเทศตัวเองแทบทั้งสิ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ซึ่งถือเป็นสัญลักษณ์แห่งเกียรติยศสูงสุดของประเทศ อีกทั้งสถานะของสถาบันพระมหากษัตริย์นั้น อยู่เหนือการเมืองอย่างแท้จริง และไม่สามารถลงมาเป็นคู่ขัดแย้งกับผู้ใดได้ จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีกฎหมายคุ้มครองสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นหลักการพื้นฐานที่ยังคงถูกใช้งาน และได้รับการยอมรับกันในสังคมโลก
ดังนั้น การที่มีคนบางกลุ่มออกมาเรียกร้องให้มีการยกเลิกกฎหมาย มาตรา 112 โดยอ้างว่า เป็นกฎหมายที่ลิดรอนสิทธิเสรีภาพ หรือแม้กระทั่งทำร้ายรังแกประชาชน จึงเป็นเหตุผลที่ฟังไม่ขึ้น
และเมื่อรวมกับพฤติกรรมดูหมิ่น หมิ่นประมาทของผู้ที่ถูกดำเนินคดีความผิด มาตรา 112 ในรอบสองสามปีที่ผ่านมา ก็ยิ่งเห็นเจตนาได้ชัดเจนว่าการเรียกร้องให้ยกเลิก มาตรา 112 ของกลุ่มบุคคลเหล่านี้ แท้จริงแล้วไม่ได้เป็นการเรียกร้องเสรีภาพหรือความเท่าเทียมใดๆ เลย หากแต่เป็นเพียงการ “เปิดทาง” เพื่อนำไปสู่การทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์เสียมากกว่า