มองพม่าผ่านสายตา ‘ธูซีดิดีส’ นักปรัชญากรีก
บทความโดย : ไกอุส
“ท่านเป็นคนที่มองโลกในแง่ดีเกินไป… ในความเป็นจริงแล้ว หากกลับมาสู่เรื่องธรรมชาติของมนุษย์ที่เราเคยบอกท่าน มนุษย์แต่ละคนย่อมคิดถึงผลประโยชน์ของตัวเองทั้งนั้น และในช่วงที่ท่านคิดว่าคนอื่นจะใจดีกับท่าน หรือเห็นว่าท่านเป็นคนมีศีลธรรมนำใจ กลับกัน คนอื่นเหล่านั้นกำลังหาทางจะแทงท่านจากข้างหลังทันทีเมื่อมีโอกาส ไม่มีใครสนใจศีลธรรมที่ท่านทึกทักเอาเองฝ่ายเดียวดอก
เอาล่ะ.. ท่านจงระวังตัวเองไว้ให้ดีเถิด”
จากสถานการณ์สงครามกลางเมืองของพม่าที่เข้มข้นในปัจจุบันนี้ ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่เรื่องไกลตัวเราในฐานะคนไทยอีกต่อไป จากการที่รัฐบาลทหารพม่ากำลังพ่ายแพ้และเสียเขตอำนาจรัฐมากขึ้นเรื่อย ๆ ย่อมเป็นเหตุให้ทางฝ่ายความมั่นคงและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับกิจการชายแดนและต่างประเทศของไทย จำจะต้องคอยสดับฟังและติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เพราะต่อให้คนไทยทั่วไปมองประเด็นนี้ว่าเป็นเรื่องภายในประเทศของพม่า (อธิปไตยต้องไม่แทรกแซง) หรือ เป็นเรื่องของอุดมการณ์สิทธิมนุษยชน (ต้องสนับสนุนประชาธิปไตยชนกลุ่มน้อยสู้กับเผด็จการทหารพม่า)
หากแต่สิ่งที่ต้องพึงระวังเป็นสำคัญคือท่าทีระหว่างประเทศที่เราในฐานะรัฐเพื่อนบ้านที่มีพื้นที่ชายแดนติดต่อกับพม่าทั้งภาคเหนือจรดภาคตะวันออก และติดกับพื้นที่ทางทะเลในภาคใต้
กล่าวให้ชัด เพราะเราไม่สามารถ ‘ย้ายบ้านหนี’ หรือ ‘เปลี่ยนเพื่อนบ้าน’ ได้นี่เอง
การที่มีสภาพภูมิรัฐศาสตร์ (Geo-Body) รั้วชิดติดกันขนาดนี้ จึงเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ท่าทีระหว่างประเทศระหว่างเรากับเขามีความเปราะบางอย่างมาก
และถึงกระนั้น หากตัดประเด็นท่าทีของเราทิ้งไปเสีย อย่างไรก็ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะไม่ได้รับผลกระทบหากเกิดเหตุการณ์ความเป็นไปในพม่าที่อาจขยายลามข้ามเขตแดนมาฝั่งเราไม่ได้ ดังที่เห็นจากข่าวทุกวี่ทุกวันแล้วว่า มีการข้ามเขตแดนมาฝั่งไทยไม่ว่าจะทั้งฝ่ายต่อต้านรัฐบาลพม่าและกองกำลังของพม่าเอง เพื่อลี้ภัยหรือเข้ามารับการรักษาตามหลักสิทธิมนุษยชนอยู่แทบทุกวัน
และในฐานะ ‘เพื่อนบ้านที่ดี’ ไทยเราควรกระทำตัวอย่างไร ? เราควรหยิบยืมมุมมองการเมืองระหว่างประเทศของใครมาใช้ในกรณีสงครามกลางเมืองของพม่านี้ ?
ทำความรู้จักกับสำนักคิดแนวสัจนิยมคลาสสิค (Classical Realism)
สำนักสัจนิยมคลาสสิค ถือเป็นแนวคิดหนึ่งในมุมมองและทฤษฎีการเมืองระหว่างประเทศมาช้านาน กล่าวกันว่าแรกเริ่มเดิมทีนั้น งานเขียนอันทรงคุณค่าของมนุษยชาติที่ริเริ่มและใช้มุมมองนี้วิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศโดยยึดอยู่กับ ‘สภาพความเป็นจริง’ ก่อนใครเพื่อน คือ ‘ธูซีดิดีส’ (Thucydides) นักการทหารและนักประวัติศาสตร์ชาวกรีกจากเมืองเอเธนส์
เขามีอายุอยู่ในช่วง 400 ปีก่อนคริสตกาล ปัจจุบัน ธูซีดิดีสได้รับฉายาจากนักรัฐศาสตร์สมัยใหม่ว่าเป็นบิดาของสำนักคิดแนวสัจนิยม อันเป็นผลมาจากผลงานอันเลื่องชื่อของเขา ที่คนในอดีตและปัจจุบันยังอ่านกันไม่รู้จบสิ้น คือ ‘History of Peloponnesian War’ ซึ่งมีเนื้อหาหลัก ๆ เล่าถึงสงครามระหว่าง 2 นครรัฐกรีกที่ยิ่งใหญ่คือ เอเธนส์ (Athens) กับ สปาร์ต้า (Sparta) พร้อมด้วยตัวแสดงอื่น ๆ อันเป็นรัฐพันมิตรของนครรัฐทั้ง 2
หัวใจอันเป็นข้อคิดสำคัญของ ‘History of Peloponnesian War’ ที่ธูซีดิดีสพยายาม ‘ส่งสาส์น’ ย้ำเตือนคนในรุ่นหลัง นั่นคือ ‘ธรรมชาติของมนุษย์เห็นแก่ตัว’
มนุษย์ทุกคนสนใจแต่ประโยชน์ส่วนตัว การเอาตัวรอด และมุ่งเน้นการสั่งสมอำนาจจึงเป็นหนทางที่จะทำให้เราปลอดภัย และเมื่อมองภาพขยายมาในฐานะรัฐหรือประเทศชาติแล้ว รัฐแต่ละรัฐก็ย่อมเอาประโยชน์ของตนเองเป็นใหญ่ จึงกล่าวได้ว่าในสายตาของธูซีดิดีส การเอาตัวรอด (Survival) และ การช่วยเหลือตนเอง (Self-help) ซึ่งองค์ประกอบสำคัญที่จะทำให้รัฐรักษาตัวรอดไว้ได้ก็คือการมี‘อำนาจอธิปไตย’ (Sovereignty) เพราะถ้าไม่มีอำนาจชนิดนี้ดำรงอยู่ รัฐนั้นก็คือรัฐที่ไร้ประโยชน์ ปกป้องประชาชนของตนไม่ได้ เพราะไร้ซึ่งอำนาจและเสียงของตนเอง รัฐเช่นนี้จะเรียกตนเองว่าเป็นรัฐเลยก็ไม่ได้
ด้วยเหตุนี้ ท้ายที่สุดรัฐแต่ละรัฐควรมุ่งสนใจแต่ประโยชน์ของตนเองเพื่อเสริมสร้างความมั่นคง (Security) แนวคิดนี้ต่อมาได้ถูกส่งทอดมายังนักปรัชญเมณีคนสำคัญอีกหลายคนในยุคหลัง เช่น แมคเคียวิอาลี และ โทมัส ฮอบส์ เป็นต้น นักวิชาการเรียกแนวคิดที่สนใจ ‘การที่รัฐสนใจเอาตัวรอด’ เป็นหลักนี้ว่า ‘สัจนิยมคลาสสิค’ หรือ ‘Classical Realism’ ซึ่งถืออำนาจอันเด็ดขาดของรัฐเป็นสรณะ
หากธูซีดิดีสเป็นคนไทย เขาจะมองสถานการณ์ในพม่าเช่นไร ?
เมื่อนำแนวคิดสัจนิยมคลาสสิคของธูซีดิดีสมาเป็น ‘แว่น’ ในการวิเคราะห์และมองสถานการณ์พม่าที่จำต้องมีผลกระทบไม่ว่าทางใดทางหนึ่งมายังประเทศไทย หรือกล่าวให้ชัด ๆ ว่าหากเราลองสมมติเล่น ๆ ว่าหากผู้นำในหน่วยงานความมั่นคงไทยหน่วยงานหนึ่งได้ปรึกษาหารือกับธูซีดิดีส เขาจะมีความเห็นต่อกรณีพม่าอย่างไร ? และความเห็นเหล่านี้จะไปกำหนดท่าทีและนโยบายทางความมั่นคงและการต่างประเทศอย่างไร ? เหล่านี้คือความน่าจะเป็นไปได้ที่ ธูซีดิดีส จะบอกหรือแนะนำคนไทยได้
ให้เรื่องพม่าเป็นเรื่องของพม่า
ธูซีดิดีสจะบอกเราเช่นนี้ และไม่มีวันเปลี่ยนเป็นอื่น เพราะหัวใจของแนวคิดสัจนิยมคือการมีอยู่ของอำนาจอธิปไตยภายในรัฐ ด้วยเหตุนี้ ท่าทีทางการของเรา (ประเทศไทย) ในฐานะรัฐเพื่อนบ้าน (ที่เลือกจะย้ายบ้านไม่ได้) ย่อมต้องเคารพอธิปไตยของรัฐบาลพม่า
ไม่ว่าสถานการณ์ของรัฐบาลพม่าจะเลวร้ายเพียงใดก็ตาม แต่ถ้าหากรัฐบาลพม่ายังเป็นชุดเดิม ท่าทีของไทยก็ควรจะเคารพต่ออธิปไตยของพม่า หลีกเลี่ยงที่จะแสดงท่าทีสนับสนุนการต่อสู้ของชนกลุ่มน้อย (เนื่องจากในสายตาของรัฐบาลพม่า คนเหล่านี้คือกบฏ) เพราะเช่นกัน เราไม่สามารถคาดการณ์ได้แน่ชัดในอนาคตว่า อะไรจะเกิดขึ้น จะมีอะไรแทรกซ้อนขึ้นมาอันเป็นปัจจัยให้ฝ่ายรัฐบาลพม่าเข้มแข็งขึ้นและฝ่ายต่อต้านอ่อนแอได้หรือไม่
ลองจินตนาการว่า หากเราในฐานะรัฐไทยได้เอาใจช่วยอย่างชัดเจนต่อชนกลุ่มน้อยฝ่ายต่อต้าน และลงท้ายเป็นรัฐบาลพม่าที่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้ ณ เวลานั้น เราจะห้ามมิให้พม่ารู้สึกไม่ดี หรือ ‘ไม่ไว้วางใจเพื่อนบ้าน’ อย่างเราได้อย่างไร ? คำตอบสำหรับท่าทีอันเป็นทางการของรัฐไทยในสายตาของธูซีดิดีส คือ ‘ให้เรื่องพม่าเป็นเรื่องของพม่าเสียเถิด’
ท่าทีของไทยต่อภายนอก
เมื่อได้ท่าทีอันเป็นทางการว่า ‘ให้เรื่องพม่าเป็นเรื่องของพม่า’ แล้ว ต่อสมาชิกชุมชนนานาชาติ ไทยเราควรจะสำแดงท่าทีอย่างไร ? คำตอบในประเด็นนี้คงชัดเจนไม่ต่างจากข้อ A. นั่นคือ ไทยควรวางตัวเป็นกลางในสภานการณ์ความขัดแย้งนี้ และต่อให้มีชาติมหาอำนาจอื่นใดหรือสถาบันระหว่างประเทศใด เรียกร้องให้ไทยกระทำการอื่นใดอันเป็นละเมิดอธิปไตยของรัฐบาลพม่า
ไทยเราควรวางตัวนิ่งเฉยเสีย ปัจจัยด้านอุดมการณ์ตามที่ลัทธิเสรีนิยม (Liberalism) ซึ่งเป็นคนละแนวคิดกับสัจนิยม พยายามป่าวประกาศว่าจะเป็นยารักษาโรคและหนทางแก้ไขปัญหายุ่ง ๆ ในพม่าตาม ‘วิถีมนุษยชนและประชาธิปไตย’ ได้นั้น ธูซีดิดีสจะเตือนเราว่าต้องชั่งใจให้ดี ๆ เพราะปัญหาที่เกิดขึ้นในพม่า ซึ่งจะต้องกระทบกับไทยไม่ว่าทางหนึ่งแน่ ๆ
แม้ว่าปัจจัยในการสู้รบอาจเป็นเรื่องของความคิดและอุดมการณ์ทางการเมืองต่อต้านเผด็จการทหารพม่า หากแต่ผลกระทบนั้นเป็น ‘สิ่งที่เกิดขึ้นจริง’ ต่อไทย ทั้งปัญหาผู้อพยพ ผู้ลี้ภัย ลูกหลง การไล่ล่า การเคลือรนไหวทางการเมืองที่ใช้ไทยเป็นฐาน หรือความไม่สงบอาจขยายเข้ามาในพื้นที่ที่ตกลงกันว่าอยู่ภายใต้อธิปไตยของไทย เหล่านี้ธูซิดิดีสจะบอกกับคนไทยว่า
‘เป็นเรื่องเหลวไหลเลอะเทอะ ที่จะเอามุมมองแบบเสรีนิยมหรืออุดมการณ์มาใช้กับชีวิตและความเป็นความตายชองคนไทยที่รับผลกระทบจากการสู้รบของเพื่อนบ้าน’
กล่าวให้ชัด ธูซีดิดีสกำลังย้ำเตือนกับคนไทยว่า ‘จงหยุดมองโลกในแง่ดี’
เพราะทราบใดที่สถานการณ์ภายในของพม่าไม่สงบ ก็อย่างหวังใจว่าชายแดนของไทยจะสงบด้วย ผลกระทบทุกอย่างเกิดขึ้นเป็นเงาตามตัว ไทยเราต้องทำทุกวิถีทางที่จะทำให้ปัญญาของพม่าไม่ลามเข้าสู่เขตแดนของเรา
ดังนั้น ไทยจึงต้องสำแดงความเป็นกลางอย่างเคร่งครัดในกรณีนี้ จนกว่าสถานการณ์จะเปลี่ยนแปลงไปจนมั่นใจว่าสมควรที่จะเปลี่ยนท่าทีหรือทัศนะดังกล่าว หรือได้รับการ ‘ร้องขอ’ ให้ช่วยเหลือจัดการไกล่เกลี่ยทั้งจากฝ่ายรัฐบาลพม่าเองและฝ่ายต่อต้าน ทั้งนี้ เรื่องเหล่านี้ยังเป็นสิ่งที่ยากจะคาดเดา เรื่องของเขายังจะเป็นเรื่องของเขาตราบเท่าที่เขายังไม่ต้องการให้ช่วย
การเตรียมรับมือกับสถานการณ์อย่างปัจจุบันทันด่วนของไทยจึงเป็นทางออกที่สำคัญที่สุด
ท่าทีของไทยต่อภายใน
‘คนไทยทั้งหลาย ท่านจะแน่ใจได้อย่างไรว่า สมมติเหตุการณ์ในพม่าจบลงด้วยชัยชนะของชนกลุ่มน้อยฝ่ายต่อต้านแล้วเหตุการณ์จะสงบลง ?’
ธูซีดิดีสอาจจะกล่าวประโยคนี้กับคนไทยคนใดก็ตามที่กำลังส่งแรงใจแรงเชียร์แก่กลุ่มชาติพันธุ์ฝ่ายต่อต้านรัฐบาลพม่า เพราะตามประวัติศาสตร์แล้ว พื้นที่ของประเทศพม่าประกอบไปด้วยความแตกต่างของชาติพันธุ์สูงมาก หากแต่ชนกลุ่มที่ครองอำนาจอธิปไตยกลับเป็นชนชาติพม่าเป็นพื้น ดังนั้น สมมติว่าท้ายที่สุดรัฐบาลทหารพม่าเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ แต่ทว่า
C.1 รัฐบาลเก่าแพ้แต่ยังไม่หมดอำนาจ แต่กลับไปรวบรวมกำลังผลมาใหม่ ต่อต้านกับรัฐบาลพม่าใหม่ที่ก่อตั้งด้วยชาติพันธุ์ต่าง ๆ ด้วยเหตุนี้ สงครามจะดำรงอยู่ต่อไป เพียงแต่เปลี่ยนฝ่ายรัฐบาบเท่านั้น
C.2 รัฐบาลเก่าพ่ายแพ้หมดรูป และไม่คิดสู้อีก กลุ่มชาติพันธุ์สถาปนารัฐบาลใหม่ได้สำเร็จ หากแต่สุดท้ายก็ไม่ลงตัวกันในเรื่องการปกครอง การสู้รบยังมีอยู่ต่ไปไม่จบสิ้น เพราะสังคมพม่าในอดีตก็เป็นการต่อสู้ของชาติพันธุ์ต่าง ๆ เพื่อแย่งชิงความเป็นใหญ่ เผลอ ๆ ชนกลุ่มน้อยอาจมีมนุษยธรรมน้อยกว่ารัฐบาลทหารพม่า (ที่สั่งสมประสบการณ์มานานนม) ก็เป็นได้
C.3 รัฐบาลเก่าพ่ายแพ้หมดรูป และไม่คิดสู้อีก กลุ่มชาติพันธุ์สถาปนารัฐบาลใหม่ได้สำเร็จ และมีความเห็นว่า ดินแดนของไทยบางส่วนเคยเป็นเขตของชนกลุ่มน้อยในสมัยโบราณ ดังนั้น จึงต้องทวงคืนดินแดน (ที่ปัจจุบันนี้เป็นของไทย) มาจากไทย สงครามไม่ยุติ หากแต่เปลี่ยนจากความขัดแย้งระหว่างภายในของพม่า มาเป็นสงครามระหว่างไทยกับพม่า
สถานการณ์เหล่านี้ย่อมมีความเป็นไปได้ว่าจะเกิด เพราะ ‘รัฐ’ กับ ‘ชาติ’ ใช่ว่าจะแนบสนิทกันในทุกกรณีไป ภาพฝันของประเทศใหม่ของบางกลุ่มชาติพันธุ์อาจหมายรวมถึงการรวมเอาดินแดนที่เขา ‘จินตนาการ-เห็นว่า’ ไทยเอาดินแดนของเขาไปผ่านการปักปันเขตแดนกับรัฐบาลพม่า โดยที่เขาไม่ยินยอมและสมัครใจ ดังนั้น จึงจะต้องทวงดินแดนเหล่านั้นคืน (เช่น รัฐไทใหญ่ รัฐมอญ) ใครมองว่าเป็นเรื่องเหลวไหลนั้น ธูซีดิดีสจะบอกส่งท้ายว่า
“ท่านเป็นคนที่มองโลกในแง่ดีเกินไป… ในความเป็นจริงแล้ว หากกลับมาสู่เรื่องธรรมชาติของมนุษย์ที่เราเคยบอกท่าน มนุษย์แต่ละคนย่อมคิดถึงผลประโยชน์ของตัวเองทั้งนั้น และในช่วงที่ท่านคิดว่าคนอื่นจะใจดีกับท่าน หรือเห็นว่าท่านเป็นคนมีศีลธรรมนำใจ กลับกัน คนอื่นเหล่านั้นกำลังหาทางจะแทงท่านจากข้างหลังทันทีเมื่อมีโอกาส ไม่มีใครสนใจศีลธรรมที่ท่านทึกทักเอาเองฝ่ายเดียวดอก
เอาล่ะ.. ท่านจงระวังตัวเองไว้ให้ดีเถิด”
อ้างอิง :
[1] นรุตม์ เจริญศรี. ทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ. คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
[2] ศิวพล ชมพูพันธุ์. ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ : ทฤษฎี และการศึกษาในโลกร่วมสมัย.
[3] Thucydides. History of Peloponnesian War.