หลายท่านน่าจะได้ชมซีรีส์เกาหลีเรื่องฮิต ที่เนื้อหาพูดถึงบุคคลที่มีพลังพิเศษ การนำเสนอตัวละครแต่ละตัวนับว่ามีชั้นเชิงอย่างยิ่ง แต่นอกจากเทคนิคการถ่ายทำที่ยอดเยี่ยมแล้ว การผสมผสานฉากความรู้สึกต่างๆ ลงไปอย่างพอเหมาะพอเจาะ เป็นเหตุให้ภาพยนตร์ชุดนี้จับใจผู้คนเหลือหลาย เพราะสิ่งเหล่านี้ถือเป็นมุมมองจากจารีตวัฒนธรรมแบบเอเชีย หนังเต็มเปี่ยมไปด้วยความผูกพันแบบครอบครัวเอเชียน ที่หนังฮอลลีวูดไม่สามารถเติมเต็มให้พวกเราได้เลย
เรื่องราวของซีรีส์ชุดนี้มีบางอย่างที่น่าสนใจครับ นั่นก็คือการใช้บุคคลที่มีพลังพิเศษในทางการทหาร ซึ่งในจุดนี้ท่านผู้อ่านรู้หรือไม่ว่า ในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา ได้มีการบันทึกว่า “พลังเหนือธรรมชาติ” ได้ถูกนำมาเกี่ยวข้องกับการทหารจริง ๆ เสียด้วย แน่ล่ะ ผู้ที่อยู่ในสมรภูมิสงครามล้วนเฟ้นหาวิธีเพื่อเอาชนะข้าศึกอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นจึงไม่แปลกที่พลังเหล่านั้นจะถูกดึงเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย
ถ้าจะให้เริ่มตรงไหน ก็ขอเริ่มจากโบราณกาลเลยก็แล้วกัน เรื่องนี้เกิดขึ้นในสมัยพระคัมภีร์โน่น ว่าด้วยเรื่อง “แม่มดแห่งเอนดอร์” ซึ่งถูกกล่าวถึงในพระคัมภีร์ฮีบรู พระธรรมซามูเอล (1 ซามูเอล 28:3-25) ในแผ่นดินอิสราเอลโบราณรัชสมัยกษัตริย์ซาอูล โดยเรื่องมีอยู่ว่า
กษัตริย์ซาอูลแห่งอิสราเอลกำลังเผชิญกับสถานการณ์ที่สุดแสนจะเลวร้าย จากการที่กองกำลังฟิลิสเตียศัตรูของเขาได้รวบรวมก่อตัวกันขึ้นจนเป็นกองทัพขนาดใหญ่ ซาอูลขวัญผวากับข้าศึกของเขามาก เขาหมดสิ่งยึดเหนี่ยว เพราะพระเจ้าหยุดสื่อสารกับเขาด้วยโทษฐานที่เขาดื้อด้านไม่เชื่อฟังใดๆ เลยก่อนหน้านี้
ท่ามกลางความสิ้นหวัง ซาอูลถึงขนาดละเมิดข้อห้ามในพระคัมภีร์ เกี่ยวกับเรื่องเวทมนตร์นอกรีต ด้วยการเลือกพึ่งคนทรงซึ่งโด่งดังที่สุดในตอนนั้นก็คือแม่มดแห่งเอนดอร์ ซาอูลลงทุนปลอมตัวเข้าไปหาเธออย่างเงียบๆ และขอให้เธอช่วยเสกวิญญาณของ ‘ผู้เผยพระวจนะซามูเอล’ ที่ล่วงลับไปแล้ว ซึ่งซาอูลนึกถึงใครไม่ออกจริงๆ นอกจากซามูเอล ผู้ศักดิ์สิทธิ์ที่เคยแต่งตั้งเขาเป็นกษัตริย์นี่แหละ
หะแรกแม่มดแห่งเอนดอร์ก็ลังเล แต่ด้วยทนการรบเร้าไม่ไหว เธอจึงได้ประกอบพิธีและเสกวิญญาณที่ดูเหมือนจะเป็นซามูเอลขึ้นมา จุดนี้แหละที่เป็นการถกเถียงของเหล่านักเทววิทยา เนื่องจากการตีความบางกระแสดันชี้ให้เห็นว่าร่างเสกนั่นเป็นวิญญาณของซามูเอลจริงๆ ในขณะที่การตีความส่วนใหญ่ชี้ไปทางว่า ร่างนั้นคือสำแดงของพระเจ้า พระเจ้าอยากสั่งสอนซาอูลผู้ดื้อรั้นเพื่อให้รู้ถึงรสชาติของการเชื่อสิ่งนอกรีตอย่างสาสมต่างหากเล่า
แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ในเหตุการณ์นั้นซาอูลก็ได้รับคำทำนายสุดเลวร้ายจากร่างซามูเอลที่ว่า ซาอูลจะพ่ายแพ้ในการศึกครั้งนี้ โดยไม่เพียงแต่เขาจะตาย ลูกชายของเขาซึ่งเป็นพระโอรสก็จะร่วมเดินทางไปปรโลกกับเขาในทริปเดียวกันอีกด้วย
สุดท้ายคำทำนายนี้ก็เป็นความจริง
เพราะหลังจากที่ซาอูลได้รับสารหายนะดังกล่าว เขาก็ตรอมใจ ทรุดลงด้วยความกลัวผสมความสิ้นหวัง เขาไม่กินอาหารอีกเลยจนล่วงถึงวันรุ่งขึ้น ชาวฟิลิสเตียก็กรีฑาทัพเข้าสู่สมรภูมเทือกเขากิลโบอา ที่ซึ่งซาอูลและพระโอรสของเขาสิ้นพระชนม์ ตามคำพยากรณ์อย่างไม่มีผิดเพี้ยน
เรื่องราวของซาอูลนั้นจบไปนานแล้ว แต่ทว่าการถกเถียงกันของนักเทววิทยา นักวิชาการ หรือกระทั่งศิลปินหลายแขนงก็ยังคงถกเถียงกันอยู่จนถึงทุกวันนี้ ซึ่งมันทำให้เกิดความมีอยู่ของสิ่งเหนือธรรมชาติ ศาสตร์นอกรีต รวมไปถึงการตีความที่ส่อไปถึงการแทรกแซงของพระเจ้าไปโน่น
ถ้าเรื่องนี้เป็นแค่กิจของพระเจ้าหรือแค่คำสอนในพระคัมภีร์ก็โอเค แต่ถ้ามองมุมยุทธศาสตร์ที่ว่า ชาวฟิลิสเตียมีสายลับที่รู้ว่ากษัตริย์ซาอูลกำลังสิ้นหวัง และวางแผนโดยใช้แม่มดแห่งเอนดอร์เป็นการตลบหลังล่ะก็
นี่ถือว่าเป็นกลยุทธ์ที่ยอดเยี่ยมไปเลยไม่ใช่หรือไง
เข้ามาใกล้กับปัจจุบันอีกสักหน่อย พลังพิเศษเหนือธรรมชาติที่สามารถสร้างความได้เปรียบทางการทหารได้ส่วนใหญ่แล้วเป็นพลังที่เรียกว่า “พลังจิต” เสียมากกว่า ในทางสากลพวกมันถูกเรียกว่า “การรับรู้พิเศษ (ESP)” หรือไซโคคิเนซิส (PK) พลังเหล่านี้เป็นคู่ขนานกับภูมิปัญญาวิทยาศาสตร์ อาจจะเพราะว่าเป็นแบบนั้น บันทึกของการใช้ ESP ในการทหารจึงน้อยเต็มที แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีอยู่เลย
โครงการแรกอันลือลั่นชื่อว่า Stargate ซึ่งได้รับการสนับสนุนทุนจากรัฐบาลสหรัฐอเมริกา ในช่วงทศวรรษ 70 และ 80 ซึ่งเน้นผลลัพธ์ทางด้านข่าวกรองเป็นสำคัญ โดยใช้การเข้าถึงข้อมูลจากระยะไกลของบรรดาผู้มีพลังพิเศษ โครงการนี้หลายสียงอ้างว่ามันประสบความสำเร็จอย่างยิ่งยวด แต่ก็ไม่ได้มีอะไรยืนยันเป็นรูปธรรม ก็แน่ล่ะมันเป็นความลับนี่นา
โครงการวิจัยกายสิทธิ์ (Psychic) ของโซเวียตและรัสเซีย เนื้อหาคล้ายของอเมริกา พวกโซเวียตได้ทำการค้นหาบุคคลที่มีพลังจิตเพื่อนำมาทดลองและพัฒนาเพื่อจุดประสงค์ทางการทหาร ลือกันหนาหูว่าโซเวียตใช้พลังจิตในการโจรกรรมข้อมูลในช่วงสงครามเย็นได้เป็นกอบเป็นกำ และก็เช่นกัน เหตุการณ์เหล่านี้ไม่มีหลักฐานสนับสนุนใดๆ เลย เช่นเดียวกับฝั่งอเมริกา นอกจากโซเวียตแล้ว อังกฤษก็ไม่น้อยหน้า มีการทดลองกายสิทธิ์กับเขาด้วย ส่วนจุดประสงค์ทางการทหารก็เช่นเดียวกัน นั่นคือการเก็บข้อมูลทางด้านข่าวกรอง นี่แสดงให้เราเห็นว่าไม่ว่ายุคสมัยจะเปลี่ยนไปเพียงใด แต่ข้อมูลข่าวสารก็ยังคงสำคัญเป็นอันดับหนึ่ง
ถัดมาในปี 1973 มีเหตุการณ์ที่เรียกว่า ฟอร์ตมีด เกิดขึ้นครับ เรื่องของเรื่องคือมีชายชื่อว่า อินโก สวอนน์ (Ingo Swann) อ้างว่าเขาประสบความสำเร็จในการเข้าถึง “Fort Meade ฟอร์ตมีด” ได้จากระยะไกล เจ้าฟอร์ตมีดที่ว่านี่ก็คือระบบโครงข่ายของสำนักงานความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐหรือ NSA! ที่แปลกก็คือไม่ได้มีคนมาตรวจสอบหรือโต้แย้งผลงานของอินโกแต่อย่างใด ผู้คนก็เลยทึกทักไปว่าพลังของอินโกคือของจริง
นี่ยังไม่นับการทดลองบางอย่างเกี่ยวกับเรื่องเหนือธรรมชาติของนาซี ภายใต้การนำของ ไฮน์ริช ฮิมม์เลอร์ อีกด้วยนะ
ทั้งหมดก็คือเรื่องราวของการมีส่วนร่วมของพลังพิเศษในประวัติศาสตร์ทหารที่พอจะมีข้อมูลบันทึกไว้ หลายคนอาจจะคิดว่าพลังจิตเป็นเรื่องหลอกลวงเหลวไหล แต่นั่นคือข้อดีของมัน เพราะพลังเหล่านั้นสามารถดำรงอยู่ได้ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน และเป็นประโยชน์ล้นเหลือแก่ผู้ที่ใช้ประโยชน์จากมันได้
ส่วนพลังอย่างอื่นเหมือนในซีรีส์ เช่น การเคลื่อนที่เร็วจี๋ ร่างกายที่เป็นอมตะหรือการเหาะเหินเดินอากาศได้ พลังเหล่านี้อาจจะมีอยู่จริง แต่ก็ไม่น่าจะถูกนำมาใช้ทางการทหาร เพราะในปัจจุบันพลังเหล่านั้นได้ถูกทดแทนด้วยยุทโธปกรณ์ต่างๆ จนหมดสิ้นแล้ว ทั้งเครื่องบินรบ เรือดำน้ำ หรือรถถัง และจะก้าวหน้าไปกว่านั้นด้วยการใช้ยานยนต์ไร้คนขับ อย่างโดรนหรือหุ่นยนต์สังหาร ที่ไม่ต้องนำชีวิตคนไปเสี่ยงในสมรภูมิรบอีกต่อไป
ส่วนผู้มีพลังจิตก็น่าจะถูกใช้น้อยลงเช่นกัน เพราะข้อมูลในปัจจุบันและอนาคตล้วนถูกเข้ารหัสอยู่ในดิจิทัลจนแทบไม่เหลือ สำหรับพลังที่จะถูกนำมาแทนพลังพิเศษเหนือธรรมชาติก็น่าจะเป็น AI ที่สามารถโจรกรรมข้อมูลได้
คอมพิวเตอร์นั้นทำงานได้เหนือมนุษย์ ส่วนพวก AI นั้นความสามารถเหนือการประมวลผลของคอมพิวเตอร์ธรรมดาไปอีก เพราะฉะนั้นถ้าเราจะเรียก AI ว่าเป็นพวกพลังพิเศษเหนือธรรมชาติของโลกดิจิทัล
ก็ไม่น่าจะผิดนัก