
บทความโดย : วังสามจันทร์
เรื่องความเป็นเอกลักษณ์ของอาหารไทยนั้นคือเรื่องจริงแท้ ไม่ว่าจะต้มผัดแกงทอด ในอาหารไทยมีความจัดจ้านครบ 5 รสสัมผัส 8 รสชาติตามที่เชฟ ชุมพล แจ้งไพร กล่าวไว้ หนึ่งใน 8 รสชาติที่โดดเด่นคือ “รสเผ็ด” อันนี้ถือเป็นความภูมิใจเล็ก ๆ ของคนไทย เวลาเห็นฝรั่งมังค่าออกอาการหน้าดำหน้าแดง เหงื่อกาฬไหลหลากตามรางกระดูกสันหลังตอนกินอาหารไทยรสแซ่บ
และจากความภูมิใจนั่นแหละ ที่นำไปสู่มายาคติบางอย่าง คนไทยหลายคนมักคิดว่าวัตถุดิบของอาหารไทยเลอรสล้วนแล้วแต่เป็นของไทยทั้งนั้น วันนี้ผู้เขียนจึงอยากเล่าเรื่องเจ้าระเบิดลูกจิ๋วที่ชื่อว่า ‘พริก’ ที่น่าสนใจเหลือหลาย เพราะนอกจากรสของมันจะเผ็ด แต่เรื่องราวของมันก็ร้อนแรงไม่แพ้กัน
# ข้อแรก “พริก” แต่ก่อนไม่ใช่ “พริก” ในทุกวันนี้!
ถึงแม้ว่าอานุภาพของพริกจะปรากฎในสิงหไกรภพคำกลอน โดยสุนทรภู่ ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 2 (ประมาณปี พ.ศ. 2326-2367) ดังประโยคว่า
“…พระไม่เคยจะเสวยพริกเทศเผ็ด เคี้ยวเข้าเม็ดหนึ่งน้ำพระเนตรไหล”
ทำไมถึงเรียกว่า “พริกเทศ” ? ก็เพราะว่าก่อนหน้านั้นตั้งแต่ก่อนเก่า (เดาว่ากรุงศรีอยุธยา) คนไทยลิ้มรสเผ็ดจากสมุนไพรล้วน ๆ เช่น ดีปลี กานพลู มะแขว่น และ “พริก” ซึ่งใช้เรียกพริกไทยที่เข้ามาจากอินเดียในยุคนั้น โดยมีประวัติการใช้เป็นอาหารและยามายาวนานกว่า 3,000 ปีแล้ว ถ้าสืบลึกไปกว่านั้น คำว่าพริกมาจากรากศัพท์ภาษามอญว่า “เมรฺก” ภาษาบาลี-สันสกฤตเรียกว่า “มริจ” ซึ่งหมายถึงพริกไทยดำ
แสดงว่าคำว่า “พริก” นั้นหมายถึง “พริกไทย” มานานแสนนาน จนกระทั่งราว 400 ปีก่อนหน้าปัจจุบันมันถูกยึดไปเป็นชื่อของพริกสุดสะเด่าที่มาภายหลังแต่ดังกว่า คือ “พริกเทศ” นั่นเอง
ตามบันทึกที่ชัดเจน ในช่วงยุครัชกาลที่ 3-4 ได้มีหลักฐานการเก็บภาษีอากรสมพัตสรผู้ปลูก “พริกเทศ” แสดงว่ายุคนั้นมีปลูกเพื่อการพาณิชย์กันแล้ว รวมถึงในบันทึกอักขราภิธานศรับท์ที่กล่าวถึงพริกเทศของหมอบรัดเลย์
แต่เมื่อมาถึงตำราทำอาหารชื่อดัง “ตำราแม่ครัวหัวป่าก์” หนังสือเล่มแรก ๆ ที่จัดพิมพ์แบบสมัยใหม่ในปี พ.ศ. 2452 ช่วงปลายสมัยรัชกาลที่ 5 ก็ไม่พบคำว่า “พริกเทศ” อีกแล้ว ทั้งหมดกลายเป็นคำที่บ่งชี้ชื่อพันธุ์แทน เช่น พริกชี้ฟ้า, พริกขี้หนู และ พริกไทย จึงสรุปได้ว่าคำว่า “พริกเทศ” ได้สูญสลายไปในช่วงเวลานี้อย่างเป็นทางการนั่นเอง
ผู้เขียนสันนิษฐานว่าการเรียกว่าพริกเทศมันคงยากไป เพราะพริกเทศนั้นมีหลายขนาน (พริกขี้หนู, พริกชี้ฟ้า หรือพริกหยวก) ไม่เหมือนกับพริกไทยที่มีอยู่แค่ชนิดเดียว ไป ๆ มา ๆ ก็คงลดเหลือแค่คำว่าพริกเปล่า ๆ ซึ่งก็เป็นอันเข้าใจตรงกัน และทุกอย่างเริ่มที่จากในวังก่อน และชาวบ้านก็เรียกกันตามไปตั้งแต่นั้น เรียกได้ว่าวังสมัยนั้นถือเป็น trend setter ตัวจริงเลยเชียวล่ะ
# ข้อสอง “พริก” อายุกว่า 9,000 ปีแล้ว!
ตามประวัติศาสตร์ที่บันทึกไว้ พริกถือกำเนิดในแผ่นดินอเมริกา (บ้างว่าที่ชื่อ chilli ก็เพราะมาจากประเทศ ชิลี แต่ผู้เขียนคิดว่ามันน่าจะง่ายไป) มันถูกนำเอาออกจากประเทศแม่ราวปี ค.ศ. 1550 โดย ปีเตอร์ มาร์ทิล ลูกเรือคนหนึ่งของโคลัมบัส ซึ่งสำหรับมาร์ทิลไม่มีใครทราบข้อมูลมากกว่านั้น แต่แค่ได้ชื่อว่าเป็นชายผู้นำพริกโกอินเตอร์ ก็น่าจะยิ่งใหญ่เพียงพอในหน้าประวัติศาสตร์แล้วกระมัง ข้อมูลเล่าว่าเป็นโชคของชาวโลก เมื่อมาร์ทิลนำเมล็ดพริกไปปลูกต่อแล้วดันงอกงามดี (ในบางบันทึกกล่าวว่าเป็นนาย Alvarez Chanca ต่างหากที่เป็นผู้นำพริกจากอเมริกาไปสู่สเปน แต่ใครจะสนล่ะ!) หลังจากนั้นก็แพร่ไปถึงอินเดียในปี ค.ศ. 1585 ซึ่งเหมือนเป็นครัวโลกในขณะนั้น และเดินทางมาถึงสยามในช่วงปี ค.ศ. 1600 ในช่วงปลายรัชสมัยพระนเรศวรมหาราช
แต่นั่นยังนานไม่พอ
ตามหลักฐานประวัติศาสตร์ พริก นั้นเป็นที่รู้จักและใช้ปรุงอาหารมาตั้งแต่ยุคหินใหม่ โดยมีหลักฐานว่าพบเมล็ดพริกในอุจจาระโบราณที่เมือง Huaca Prirta ในเม็กซิโก อายุกว่า 9,000 ปี! และมีการขุดพบซากต้นพริกอายุกว่า 2,000 ปี ในเทวสถานของเปรู แถมลายปักเสื้อของชาวเปรูเมื่อ 1,900 ปีก่อนก็ปักรูปต้นพริกอีกต่างหาก
น่าจะแสดงถึงความโปรดปรานในรสเผ็ดร้อนได้เป็นอย่างดี
นอกจากนั้นทีมงานของโคลัมบัสยังบันทึกชัดเจน ว่าพวกอินเดียนที่พวกเขาพบเจอนิยมปรุงอาหารด้วยพริก และเมื่อกองทัพสเปนบุกอาณาจักร Aztec นายพล Cortez ได้เขียนบันทึกว่ากษัตริย์ Aztec ทรงโปรดเสวยพระสุคนธรสที่มีพริกเป็นส่วนผสม
# ข้อสาม พริกนั้นรักษาโรคได้ รสชาติแสนอร่อย แต่มันก็ถูกใช้ในการทรมานผู้คนอีกด้วย
หลักฐานอันน่าตื่นตะลึง นอกจากพริกจะใช้เป็นอาหารแล้ว มันยังถูกใช้เป็นยารักษาอาการ โรคบวม เสียดท้อง ปวดท้อง อาเจียน อหิวาต์ จนเกือบเรียกว่าครอบจักรวาล เพราะมันใช้เป็นยาไล่แมลงได้ด้วย ซึ่งทั้งหมดนี้ไม่ใช่แค่คนกลุ่มเดียว แต่เป็นทั้งชาวอินคา, อินเดียน รวมไปถึงชาวมายา
แต่การใช้ในโหมดทรมานคนก็สุดแสบสันต์
มีบันทึกว่าหญิงสาวชาวมายาที่ถูกจับได้ว่าแอบดูผู้ชาย จะถูกพริกขยี้ที่ตา ส่วนรายที่ชิงสุกก่อนห่าม จะถูกทำโทษด้วยการถูกละเลงพริกที่ของลับ สำหรับการใช้พริกลงโทษก็ยังมีอีกตำรับ เมื่อจากหลักฐานประวัติศาสตร์พบว่า ชาวอินเดียนเผ่า Carlib ใช้ไฟจี้ตามตัวเชลยจนเป็นแผลพุพองแล้วทาด้วยพริก ที่สุดโต่งไปอีกคือเมื่อเชลยเสียชีวิต เนื้อก็จะถูกแล่และนำไปปรุงอาหาร
พืชสวนเม็ดเล็กจัดจ้าน ช่างมีประวัติแสนยาวนาน และแสบร้อนไม่แพ้รสชาติ ทุกวันนี้พริกแตกขยายไปหลายพันธุ์แล้วแต่พื้นที่ที่ใช้ปลูก เห็นทีชาวโลกทุกคนก็ต้องขอบคุณนายปีเตอร์ มาร์ทิล อีกรอบ ที่นำมันออกมากระจายจนแพร่ขยายไปทั่ว จนกลายเป็นรสชาติที่โดดเด่นไม่น่าเบื่อของอาหารหลายชนชาติ
รวมถึงส้มตำปลาร้าจานโปรดของผู้เขียนด้วยครับ