‘พระยาสุรพันธเสนี’ กับเส้นทางจากคุกนรก สู่เก้าอี้ในสภาฯ ผู้เสนอนิรโทษกรรมให้นักโทษการเมืองในยุคคณะราษฎร
ทุกวันนี้มักมีนักวิชาการบิดเบือนบางกลุ่ม ออกมาให้ข้อมูลว่าภายหลังช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งเป็นช่วงที่คณะราษฎรสายพลเรือนอย่างปรีดี พนมยงค์ สามารถโค่นล้มรัฐบาลของจอมพล ป. พิบูลสงคราม ลงได้ (ช่วงปี พ.ศ. 2481 – 2487) ปรีดีฯ ได้เริ่มมีแนวคิดที่จะ “ขอคืนดี” กับพวกนักโทษการเมืองที่ “นิยมเจ้า/รักเจ้า” (royalist) ซึ่งถูกจับกุมคุมขังและพิพากษาอย่างอยุติธรรมตั้งแต่ปี พ.ศ. 2476 เป็นต้นมา จนถึงช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 เพื่อที่จะให้การเมืองในไทยมีความสมัครสมานมากขึ้น
จึงได้มีการออกพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมยกโทษให้นักโทษเหล่านั้น โดยไม่ถือว่ามีความผิด และยังคืนยศรวมทั้งราชทินนามพระราชทานตามเดิมแก่นักโทษการเมืองเหล่านี้ด้วย
แต่ต่อมาพวกอดีตนักโทษการเมืองที่เป็นรอยัลลิสต์เหล่านี้ แทนที่จะ “สำนึก” ในหนี้บุญคุณ กลับหักหลังปรีดีฯ อย่างเลือดเย็น ด้วยการสนับสนุนการรัฐประหาร พ.ศ. 2490
ทั้งหมดนี้คือการพูดถึงนักการเมืองฝั่งนิยมเจ้าของนักวิชาการไร้คุณธรรมบางคน โดยที่ไม่มีหลักฐานอ้างอิงที่น่าเชื่อถืออะไรทั้งสิ้น พวกเขาพยายามวาดภาพให้พวกนิยมเจ้าหรือรอยัลลิสต์เป็น “ตัวร้าย” ในสายธารประวัติศาสตร์ไทยสมัยใหม่
อย่างไรก็ดี คำอธิบายของนักวิชาการเหล่านี้เป็นการจงใจพูดความจริงไม่หมด ทั้งยังเป็นการเชิดชูลัทธิบูชาบุคคลซึ่งในกรณีนี้คือ ปรีดี พนมยงค์ จนเกินจริง และที่สำคัญคือ เป็นการมองข้ามตัวแสดงสำคัญ ที่เป็น “ผู้ชงเรื่อง” พระราชบัญญัตินิรโทษกรรมเหล่านี้
ตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์แล้ว “มันสมองสำคัญ” ในการเสนอนิรโทษกรรมนักโทษการเมืองสมัยรัฐบาลคณะราษฎรเป็นต้นมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2476 – 2481 (กบฏบวรเดช จนถึง กบฏพระยาทรงสุรเดช) ก็คือ พระยาสุรพันธเสนี (อิ้น บุนนาค) อดีตสมุหเทศาภิบาลมณฑลราชบุรี ในสมัยรัชกาลที่ 7 ที่ต่อมาถูกตัดสินจำคุกในฐานะผู้เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์กบฏบวรเดช พ.ศ. 2476
พระยาสุรพันธเสนี ได้เล่าผ่านหนังสือ “ฝันร้ายในชีวิตของข้าพเจ้า” ว่า หลังจากที่เขาโดนตัดสินจำคุกผ่านมาช่วงหนึ่ง รัฐบาลคณะราษฎรซึ่งตอนนั้นมีจอมพล ป. เป็นนายก ได้ตัดสินใจย้ายพวกนักโทษการเมืองตั้งแต่นักโทษกบฏบวรเดช (พ.ศ.2476) จนถึงกบฏพระยาทรงฯ (พ.ศ.2481) ไปยังเกาะนรกตะรุเตา ในจังหวัดสตูล ซึ่งมีสภาพความเป็นอยู่ที่โหดร้ายทารุณและไร้มนุษยธรรมอย่างมาก ทำให้ท้ายที่สุด พระยาสุรพันธเสนีกับพรรคพวกจำนวนหนึ่งได้ตัดสินใจแหกคุกตะรุเตา แล้วหนีไปอยู่ในดินแดนมลายาของอังกฤษ จนกระทั่งสิ้นสงครามโลกครั้งที่ 2
ช่วงที่ลี้ภัยอยู่ในดินแดนมลายานั้น พวกนักโทษแหกคุกตะรุเตาต้องมีความเป็นอยู่ที่แสนสาหัสมาก บางคนเคยมียศใหญ่โตในไทย แต่พอลี้ภัยแล้วต้องมาทำงานรับจ้างไปวันๆ เงินทองและอาหารบางครั้งก็ไม่พอกิน แต่พวกเขาก็อยู่รอดมาด้วยความช่วยเหลือของเครือข่ายรอยัลลิสต์ผู้ภักดีต่อราชวงศ์จักรี ที่ช่วยเหลือเกื้อกูลเล็กๆ น้อยๆ กันมาตลอดระยะเวลาหลายปี
การช่วยเหลือนักโทษแหกคุกเหล่านี้ น่าสนใจว่ามีเจ้ามลายูท้องถิ่นในรัฐไทรบุรีที่ยังภักดีต่อราชวงศ์จักรี คอยสนับสนุนพวกเขา โดยเฉพาะในเรื่องของการอำนวยความสะดวกในการลี้ภัยในดินแดนเหล่านี้ด้วย
พระยาสุรพันธเสนีได้เล่าต่อในบันทึกว่า พอถึงช่วงปลายสงคราม ข่าวหนังสือพิมพ์ในสิงคโปร์ก็ลงว่ารัฐบาลไทยได้นิรโทษกรรมให้แก่นักโทษการเมือง พ.ศ. 2476 แล้ว อันหมายรวมถึงนักโทษที่ต้องโทษอยู่ในไทย และพวกที่ลี้ภัยอยู่ในต่างประเทศด้วย แต่สำหรับนักโทษในคดีการเมืองอื่นๆ เช่น กบฏนายสิบ พ.ศ. 2478 หรือกบฏพระยาทรงสุรเดช พ.ศ. 2481 ยังไม่มีการริเริ่มนิรโทษกรรมแต่อย่างใด
ต่อมาในปี พ.ศ. 2488 นักโทษกบฏบวรเดช (ซึ่งรวมถึงตัวพระยาสุรพันธเสนี) ต่างได้รับการอภัยโทษ และได้รับอิสระในเรื่องคดีความ (คือรับโทษเต็มจำนวนมาเกินกว่า 10 ปีแล้ว ตั้งแต่ พ.ศ.2476 – 2488) แต่นักโทษในคดีการเมืองอื่นๆ กลับยังไม่มีความคืบหน้าแต่อย่างใด
และเมื่อพระยาสุรพันธเสนีเดินทางมาถึงประเทศไทย เขาก็ตัดสินใจลงเล่นการเมืองในการเลือกตั้งปี พ.ศ. 2489 ด้วยการถือคติว่า “ถ้าไม่เล่นการเมือง การเมืองก็จะเล่นเรา” และด้วยกระแสของคนที่เบื่อหน่ายต่อรัฐบาลคณะราษฎรในขณะนั้นมีมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ประชาชนต่างเทคะแนนเสียงมายังฝ่ายนิยมเจ้าอย่างล้นหลาม ทำให้พระยาสุรพันธเสนีอดีตนักโทษการเมืองที่ต้องลี้ภัยอยู่นอกประเทศถึง 6 ปี ได้รับตำแหน่งเป็นสมาชิกผู้แทนราษฎรจังหวัดเพชรบุรี ด้วยคะแนนมากถึง 52,600 คะแนน
จากความนิยมของประชาชนต่อฝ่ายนิยมเจ้า ทำให้ปรีดี พนมยงค์ ทาบทามพระยาสุรพันธเสนีให้เข้าร่วมรัฐบาลในตำแหน่ง “รัฐมนตรีลอย” ด้วยตัวของเขาเอง
อย่างไรก็ตาม พระยาสุรพันธเสนี ยังไม่ได้ตัดสินใจในทันที แต่เมื่อเขาได้ปรึกษากับพระยาทรงอักษร อดีตนักโทษกบฏบวรเดชที่ได้รับการอภัยโทษเช่นกัน พระยาทรงอักษรก็ได้แนะนำไปว่า “ผมเห็นว่าคุณควรจะรับ … ถ้าเจ้าคุณเป็นรัฐมนตรี ก็มีหวังที่จะได้ช่วยพวกของเราอีก 200 คน ซึ่งกำลังตกทุกข์ได้ยากอยู่” โดย 200 คนนี้คือ นักโทษคดีการเมืองสมัยรัฐบาลคณะราษฎรที่เหลือ
และเมื่อพระยาสุรพันธเสนีได้เสนอไอเดียนิรโทษกรรมนักโทษการเมืองทั้งหมดให้แก่ปรีดี พนมยงค์ นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ก็ได้รับคำตอบจากนายปรีดีฯ ว่า “ผมไม่ขัดข้อง”
ท้ายที่สุด กฎหมายฉบับนี้ได้ผ่านสภาในช่วงเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2489 นำมาสู่การนิรโทษกรรมนักโทษการเมืองที่เหลือ ซึ่งเป็นสิ่งที่เรียกได้เต็มปากว่าเป็น “ผลงานชิ้นโบว์แดง” ของพระยาสุรพันธเสนีที่ทำประโยชน์ให้แก่เพื่อนมนุษย์ ทว่าผลงานครั้งนี้กลับถูกพวกนักวิชาการบางคนเอาไปบิดเบือนและเคลมว่าเป็นผลงานของปรีดี พนมยงค์ เพื่อใช้โจมตีนักการเมืองฝั่งนิยมเจ้าให้กลายเป็นผู้ร้ายในประวัติศาสตร์
อ้างอิง :
[1] มนัส จรรยงค์. ฝันร้ายในชีวิตของข้าพเจ้า. (กรุงเทพ : 2521) สำนักพิมพ์การเวก.