
ผ่าปฏิบัติการโฉดคณะราษฎร หมายฆ่าพระบรมวงศานุวงศ์ ‘แผนถอดรางรถไฟ ให้ตกรถตายทั้งขบวน’
ในช่วงหลังการปฏิวัติ พ.ศ. 2475 แม้ในระยะแรกความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลคณะราษฎรกับสถาบันพระมหากษัตริย์จะเป็นไปอย่างถ้อยทีถ้อยอาศัย แต่นับตั้งแต่ช่วงเกิดวิกฤตสมุดปกเหลืองของหลวงประดิษฐ์มนูธรรม (ปรีดี พนมยงค์) เป็นต้นมา ความสัมพันธ์ดังกล่าวกลับเลวร้ายลงอย่างมาก และส่งผลให้เกิดความขัดแย้งทางการเมืองที่ปูทางไปสู่การเกิดขึ้นของกบฏบวรเดชในปี พ.ศ. 2476 และการสละราชสมบัติของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวในเวลาต่อมา
งานเขียนทางด้านประวัติศาสตร์ในช่วงกบฏบวรเดชนั้น มักฉายภาพไปยังเหตุการณ์ตามลำดับเวลาและจุดประสงค์ของการต่อสู้ของแต่ละฝ่าย เช่น ฝ่ายคณะกู้บ้านกู้เมือง (กบฏบวรเดช) ซึ่งอ้างว่ากระทำเพื่อธำรงรักษาระบอบรัฐธรรมนูญที่มีพระมหากษัตริย์ใต้รัฐธรรมนูญและ ‘เอาทหารออกจากการเมือง’ ส่วนรัฐบาลคณะราษฎรก็อ้างว่าเพื่อปกป้องรัฐบาลในระบอบรัฐธรรมนูญจากขบวนการรื้อฟื้นอำนาจสมบูรณาญาสิทธิราชย์
ทั้งนี้ ยังมีเหตุการณ์สำคัญอีกเหตุการณ์หนึ่งที่ควรจะบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ เพื่อจะให้ชนรุ่นหลังได้รับทราบว่า ครั้งหนึ่งฝ่ายรัฐบาลคณะราษฎรเคยมีความคิดรุนแรงถึงขนาดคิดที่จะ ‘ฆ่าพระบรมวงศานุวงศ์ด้วยแผนถอดรางรถไฟให้ตกรถตายทั้งขบวน’
กรณีนี้อาจเคยมีคนอ่านเจอในหนังสือ ‘สิ่งที่ข้าพเจ้าพบเห็น’ ของ หม่อมเจ้าพูนพิสมัย ดิศกุล (พระธิดาในสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ) ซึ่งถูกนักวิชาการรุ่นหลังจำนวนหนึ่งตั้งข้อสงสัยว่าถูกเขียนขึ้นจากมุมมองของ ‘ฝ่ายเจ้า’ ที่ ‘เชียร์’ ฝ่ายกบฏ อย่างไรก็ดี หนังสือเล่มดังกล่าวหาใช่หลักฐานเพียงชิ้นเดียวที่ยืนยันถึงการมีอยู่ของเหตุการณ์ ‘ฆ่าพระบรมวงศานุวงศ์ด้วยแผนถอดรางรถไฟให้ตกรถตายทั้งขบวน’ เพราะไม่นานมานี้ ได้มีการค้นพบหนังสืออีกเล่มหนึ่งที่ถูกพิมพ์ขึ้นในปี พ.ศ. 2489 อันเป็นช่วงตรงกับที่รัฐบาลคณะราษฎรกำลังเสื่อมอำนาจลง เพื่อเป็นการยืนยันการมีอยู่จริงของแผนการอัปยศดังกล่าว ฤา จึงขอนำหลักฐาน ‘ใหม่’ มาเปิดเผย ณ ที่นี้ครั้งแรก
เป็นที่ทราบกันดีว่าตลอดช่วงเหตุการณ์กบฏบวรเดชราวเดือนตุลาคม พ.ศ. 2476 นั้น พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้ายู่หัวทรงวางพระองค์อย่าง ‘เป็นกลาง’ ตลอดช่วงวิกฤติการณ์ดังกล่าว (กรณีมีบทความว่าด้วยเช็ค 2 แสนสนับสนุนกบฏว่าเกี่ยวข้องกับพระองค์ เป็นความเท็จทางประวัติศาสตร์ที่ถูกประกอบสร้างขึ้นจากนักวิชาการผู้มีชื่อเสียงฉาวโฉ่คนหนึ่ง) ดังนั้น เพื่อเป็นการปฏิบัติพระองค์ตามรัฐธรรมนูญในเรื่องที่ว่าพระมหากษัตริย์ทรง ‘อยู่เหนือ’ การเมือง รัชกาลที่ 7 จึงทรงหลีกเลี่ยงไม่กระทำการใดที่ทำให้แต่ละฝ่ายเห็นว่าเป็นการสนับสนุนฝั่งตนและต่อต้านฝ่ายตรงข้ามเลย และในช่วงที่ทางกรุงเทพฯ และอีสานกำลังเกิดเหตุการณ์สู้รบระหว่างคนไทยด้วยกันเอง พระองค์ทรงประทับอยู่ที่พระราชวังไกลกังวล หัวหิน อยู่ก่อนแล้ว และเมื่อมีกระแสว่าแต่ละฝ่ายทั้งรัฐบาลและกบฏล้วนต้องการให้พระมหากษัตริย์สนับสนุนข้างตน เงื่อนไขนี้ทำให้รัชกาลที่ 7 ทรงไม่มีทางเลือกอื่นใดนอกจาก ‘ลี้ภัยการเมือง’ ลงใต้มาอยู่ที่จังหวัดสงขลา เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกนำพระองค์เป็นองค์ประกันอันจะทำให้สถานการณ์แย่ลงไปอีก
เหตุการณ์ดังกล่าว เปรมจิต วัชรางกูร ข้าราชการราชสำนัก ได้บันทึกไว้ในหนังสือ ‘พระปกเกล้าฯ กับชาติไทย’ (2489) ว่า พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ‘ทรงหวาดเกรงเปนอย่างยิ่งที่จะถูกจับเปนชะเลยหรือเปนตัวประกัน (hostage) เคยรับสั่งอยู่เสมอว่าจะไม่ยอมให้ใครจับพระองค์ หรือถ้าหากมีใครจับให้พระองค์เปนตัวประกัน บังคับให้พระองค์กระทำในสิ่งที่พระองค์ไม่ทรงเห็นชอบด้วยแล้ว พระองค์จะยอมตายเสีย’ [1]
ความระแวดระวังข้างต้นนั้น ข้าราชการราชสำนักผู้นี้ระบุไว้ชัดเจนว่ามีสาเหตุเกิดมาจากการเกรงว่าพวกทหารฝายกบฏที่แตกพ่ายมาจากเมืองเพชรบุรี จะกระจัดกระจายมาถึงหัวหินและอาจถือเอาพระองค์เป็นที่พึ่งซึ่งอาจจะทำให้รัฐบาลมองว่าทรงสนับสนุนการกบฏในครั้งนี้ ด้วยเหตุนี้ ในวันที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2476 ทางราชสำนักจึงจัดแบ่งขบวนการแปรพระราชฐานจากหัวหินไปสงขลาเป็น 2 ขบวน ขบวนแรกประกอบด้วยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี และผู้ติดตามอีก 11 คน เสด็จลงเรือยนต์ ‘ศรอรุณ’ อันเป็นเรือเล็กที่สามารถบรรทุกผู้โดยสารได้แค่ 10 กว่าคนเท่านั้น โดยมีหลวงประดิยัตนาวายุทธิ์ (เฉียบ แสง-ชูโต) เป็นผู้บังคับการเรือ (กัปตัน) มีกำหนดการออกเดินทางตอน 2 ทุ่มของคืนนั้น
ส่วนอีกขบวน ประกอบด้วยสมาชิกพระบรมวงศานุวงศ์ชั้นผู้ใหญ่และขุนนางที่ไม่เหมาะแก่การเดินทางด้วยเรือเล็กในทะเล อาทิ สมเด็จกรมพระนริศรานุวัติวงศ์ สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ซึ่งล้วนแต่เป็นเจ้านายที่มีอายุมากแล้ว เป็นเหตุให้รัชกาลที่ 7 มีพระราชประสงค์ให้เจ้านายเหล่านี้เดินทางด้วยขบวนรถไฟแทน ดังนั้นในราว 5 โมงเย็นในวันเดียวกัน เหล่าทหารรักษาวังจึงได้ทำการ ‘ยึดรถไฟ’ จากสถานีวังก์พง จังหวัดประจวบฯ เพื่อสนองพระราชประสงค์ในการให้ขบวนเสด็จและผู้ติดตามพระองค์ที่เหลือเดินทางไปยังสงขลา เมื่อทหารรักษาวังแจ้งความประสงค์ดังกล่าวไป เบื้องต้นนายสถานีวังก์พงได้ตอบปฏิเสธ แต่ฝ่ายทหารรักษาวังก็ยืนยันว่ามีความจำเป็นต้องใช้รถไฟขบวนนี้เป็น ‘กรณีพิเศษ’ เพราะเวลานี้เป็นสถานการณ์ฉุกเฉิน หากจะปฏิบัติตามระเบียบของทางรถไฟคงไม่ทันการณ์ [2] อย่างไรก็ดีนายสถานีก็ปฏิเสธอย่างเด็ดขาดจนกระทั่งทหารรักษาวังได้ตัดสินใจยิงปืนขู่ขึ้นฟ้า 2 นัด ซึ่งทำให้พนักงานรถไฟไม่กล้าขัดขวางอีก
เมื่อรถไฟมาถึงหัวหินราวตี 1 บรรดาเจ้านายและสมาชิกพระบรมวงศานุวงศ์ ตลอดจนข้าราชบริพารที่เหลือได้ขึ้นรถไฟขบวนนั้นจนหมดสิ้นโดยมีเจ้ากาวิละวงศ์ ณ เชียงใหม่ ทำหน้าที่คนขับรถไฟ [3] และเมื่อขบวนรถเกือบจะถึงสถานีประจวบฯ ปรากฏว่ารางรถไฟได้ถูกถอดออกไปทำให้ไม่สามารถเดินทางต่อไปได้เพราะรางที่ถูกถอดออกนั้นผู้ถอดได้เอาไปด้วย ท้ายที่สุด ปัญหาการถูกถอดรางนี้ก็แก้ด้วยการนำเอารางรถไฟข้างหลังที่ขบวนรถเดินทางผ่านไปแล้วใส่ไปในส่วนที่ถูกถอดแทน จึงเรียกได้ว่าเป็นการ ‘เดินรถ ๆ หยุด ถอด ๆ เดินรถ ๆ ’ จนกระทั่งเมื่อถึงสถานีประจวบฯ ทางคณะก็พบว่ามีตำรวจจากโรงพักประจวบฯ พร้อมอาวุธปืนได้เข้ามาสั่งห้ามไม่ให้รถไฟเดินทางต่อไปเพราะ ‘ได้รับแจ้งว่ามีผู้ร้ายขโมยรถไฟจากวังก์พงจะลงไปทางปักษ์ใต้’
อย่างไรก็ดี ทางคณะฯ ได้แจ้งว่ารถขบวนนี้หาใช่ผู้ร้ายแต่อย่างใด แต่คือ ‘ขบวนรถของพระบรมวงศานุวงศ์และข้าราชบริพาร’ ที่กำลังเดินทางไปสงขลาตามพระราชประสงค์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เหตุการณ์ตึงเครียดมากขึ้นจนกระทั่งผู้ว่าราชการจังหวัดประจวบฯ คือ หม่อมเจ้าทองเติม ทองแถม แม้ขณะที่ป่วยอยู่ก็อุตส่าห์มาไกล่เกลี่ยให้ แต่ตำรวจและนายสถานีรถไฟก็ยืนยันว่าไม่ให้ผ่าน กระทั่งมีการขอส่งโทรเลขไปหาพระยาพหลพลพยุหเสนา นายกรัฐมนตรี เพื่อแจ้งว่ารถไฟขบวนนี้คือรถไฟตามเสด็จ หาใช่โจรผู้ร้ายแต่อย่างใด กว่าที่โทรเลขจากกรุงเทพฯ จะตอบกลับมาก็กินเวลาไปถึง 2 ชั่วโมงกว่า จึงจะมีคำสั่งให้ผ่านไปได้ [4] และถึงแม้ว่าจะมี ‘ไฟเขียว’ จากรัฐบาลให้ขบวนรถผ่านไปได้ แต่ตลอดการเดินทางชาวคณะฯ ก็ต้องประสบกับการกลั่นแกล้งต่าง ๆ นา ๆ ของฝ่ายรัฐบาลมากมาย อาทิ ที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี ตำรวจได้บุกขึ้นตรวจค้นรถไฟอีกรอบหนึ่ง ที่ทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราช รางรถไฟก็ได้ถูกสั่งถอดอีก แต่ก็มีประชาชนเอารางที่ถูกถอดออกไปนั้นกลับมาใส่ไว้ดังเดิม หรือถ้ารางเหล็กถูกสั่งถอดแล้วให้ผู้ถอดเอาไปด้วย ชาวบ้านที่รับไม่ได้กับการกระทำอันต่ำทรามของฝ่ายรัฐบาลก็ได้นำธงที่มีผ้าขาวมาปักไว้เป็นสัญลักษณ์ให้คนขับรถไฟรู้ล่วงหน้าว่ารางถูกถอดเอาไป จึงกล่าวได้ว่า ‘ถ้าผู้ขับรถจักรไม่รอบคอบพอก็อาจจะนำรถไฟตกรางทั้งขบวน และอาจบาดเจ็บล้มตายกันบ้างก็เป็นได้’ [5]
ท้ายที่สุดแล้ว การเดินทางจากรถไฟจากหัวหินไปสงขลา ต้องใช้เวลาถึง 2 วันตั้งแต่วันที่ 17 – 19 ตุลาคม 2476 จึงจะถึงจุดหมายปลายทาง โดยระหว่างนั้นขบวนเสด็จต้องเผชิญกับอุปสรรคมากมายที่ปฏิเสธไม่ได้ว่าถูกสั่งการมาจากรัฐบาลคณะราษฎร (แม้จะทำทีว่าอนุญาตให้เดินทางแล้ว) แต่ถึงกระนั้น เมื่อคณะฯ ได้เดินทางมาถึงสงขลาต่างก็ได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดีจากข้าราชการปกครองประจำจังหวัดสงขลา จึงกล่าวได้ว่า ไม่ใช่ประชาชนคนไทยทุกคนจะยินดีกับสิ่งที่รัฐบาลคณะราษฎรกระทำไปเสียทุกเรื่อง โดยเฉพาะตั้งแต่เหตุการณ์ที่นครศรีธรรมราชเป็นต้นมา ที่ประชาชนปักษ์ใต้ได้ให้ความช่วยเหลือและเอาใจช่วยให้ขบวนเสด็จเดินทางได้อย่างราบรื่น
อ้างอิง :
[1] เปรมจิต วัชรางกูร. พระปกเกล้าฯกับชาติไทย (2489). หน้า 72-73.
[2] เปรมจิต วัชรางกูร. พระปกเกล้าฯกับชาติไทย (2489). หน้า 82-83
[3] เปรมจิต วัชรางกูร. พระปกเกล้าฯกับชาติไทย (2489). หน้า 85.
[4] เปรมจิต วัชรางกูร. พระปกเกล้าฯกับชาติไทย (2489). หน้า 89.
[5] เปรมจิต วัชรางกูร. พระปกเกล้าฯกับชาติไทย (2489). หน้า 90.