‘ปาตานีจัดการตนเอง’ นโยบายสร้างความแตกแยก ที่แฝงเร้นในการเลือกตั้ง 3 จังหวัดชายแดนใต้
โดย พ.ต.ท.หลวงอนุมานขจัดเภทภัย
นับเป็นเรื่องที่ต้องจับตามองเป็นอย่างมาก ที่การหาเสียงเลือกตั้งในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้เกิดตัวแสดงที่เป็นพรรคการเมืองพรรคใหม่เข้ามาลงสนามการเลือกตั้ง จากเดิมที่พื้นที่แห่งนี้มักมีเพียงพรรคใหญ่ ๆ 2-3 พรรคเท่านั้นที่เคลื่อนไหวหาเสียงกันอย่างคึกคัก ซึ่งในอดีตนั้นนโยบายของพรรคเหล่านี้ก็หาได้มีความแตกต่างหรือโดดเด่นไปจากที่หาเสียงในส่วนอื่น ๆ ของประเทศแต่อย่างใด นโยบายที่พอจะแตกต่างบ้างนั้นเป็นนโยบายย่อยส่วนตัวของผู้สมัคร ส.ส. ในเขตนั้นเท่านั้น
หากแต่เมื่อเกิดพรรคที่มุ่งหาเสียงเฉพาะในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ขึ้นมาแล้วพรรคหนึ่ง (แม้ก่อนหน้านี้หลายสิบปีก่อนจะเคยมีพรรคในลักษณะนี้เกิดขึ้น แต่ไม่ได้มีความโดดเด่นในทางนโยบาย) หลังจากนั้น ทั้งพรรคใหญ่พรรคเล็กอื่น ๆ ก็เอาอย่างตาม คือเริ่มออกแบบ ‘นโยบายพิเศษเฉพาะท้องที่พิเศษ’ เพื่อมุ่งชนะคะแนนเสียงจากประชาชนในพื้นที่จากจังหวัดปัตตานี ยะลา นราธิวาส โดยเฉพาะ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวไทยนับถืออิสลาม (มุสลิม) เช่นที่เราเคยเห็นในสนามการเลือกตั้งทั่วประเทศในปี 2562
การเกิดขึ้นของพรรคเฉพาะในการเลือกตั้งที่จะมาถึงในเร็ววันนี้ (2566) พร้อมด้วย ‘นโยบายพิเศษเฉพาะท้องที่พิเศษ’ แท้จริงแล้วไม่ใช่สิ่งที่ผิดแต่อย่างใด เพราะถึงแม้ว่าพรรคการเมืองที่ดี ตามหลักทฤษฎีควรต้องสะท้อนความเป็นกลุ่มผลประโยชน์ของคนทั้งประเทศ มิใช่เพียงแค่กลุ่มชนใดกลุ่มชนหนึ่งเป็นการเฉพาะ แต่รัฐธรรมนูญไทยก็ไม่ได้มีบทบัญญัติใดห้ามมิให้มี‘พรรคเฉพาะ’ กับ ‘นโยบายพิเศษเฉพาะท้องที่พิเศษ’ จึงกล่าวได้ว่า ประเทศไทยมีเสรีภาพพอสมควรในการยอมรับให้มีทั้ง ‘พรรคและนโยบายพื้นที่พิเศษ’ ขัดกับการเลือกตั้งของอังกฤษ อเมริกา หรือประเทศอื่น ๆ ที่มักจะมีแค่ 2 พรรคใหญ่ในทำนองพรรคอนุรักษ์นิยมกับพรรคเสรีนิยมขับเคี่ยวกันเท่านั้น ถึงกระนั้น การอนุญาตให้มีพรรคเล็ก ๆ ในระบบการเมืองไทยนี้ ย่อมแสดงว่าไม่ได้มีการปิดกั้นหรือผูกขาดการเลือกตั้งไว้กับพรรคการเมืองที่มีขนาดใหญ่แต่อย่างใด
แต่กระนั้น ก็ต้องไม่ลืมว่าต่อให้มี ‘พรรคเฉพาะ’ กับ ‘นโยบายพิเศษเฉพาะท้องที่พิเศษ’ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าหากชนะเลือกตั้งแล้วจะสามารถทำอะไรตามใจนึกได้ เพราะต้องพึงสังวรว่าประเทศไทยเป็นของประชาชนคนไทยทุกคน เราทุกคนมีสิทธิเสมอภาคเสมอกันทั่วทั้งราชอาณาจักร การให้สิทธิพิเศษเหนือพื้นที่พิเศษจึงเท่ากับเป็นสร้างความไม่เสมอภาคกันในรัฐธรรมนูญ เป็นการทำผิดรัฐธรรมนูญ ไม่มีประชาชนคนไหนสามารถอ้างว่าตนมีสิทธิพิเศษเหนือกว่าบุคคลอื่นผ่านการอ้างสิทธิเพื่อกีดกันคนอื่นออกไปจากพื้นที่เหล่านี้ อาทิ การอ้างถึง ‘ดินแดนของเรา’ ‘พื้นที่เฉพาะของชาติพันธุ์เรา’ คำอ้างนี้เอามาใช้หาเสียงย่อมไม่ได้ หากมีการหาเสียงเช่นนี้จากพรรคใดก็ตาม ขอให้พึงจับตาและรายงานเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องด้วยจักเป็นพระคุณแก่ชาติบ้านเมืองยิ่ง
เมื่อกลับมาวิเคราะห์ตัวนโยบายหาเสียงในครั้งนี้ ไม่มีนโยบายใดน่าจับตามองไปกว่าพรรคหนึ่งที่ชูนโยบายสุดโต่งว่า ‘ปาตานีจัดการตนเอง’ ซึ่งแม้พรรคต้นคิดจะสมอ้างว่าหมายถึงการกระจายอำนาจเพื่อจัดการตนเองแบบการเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดและไม่ได้หมายถึงเพียงแต่พื้นที่ 3 จังหวัดเท่านั้น กระนั้น ข้าพเจ้าก็ยังไม่เห็นการอธิบายอย่างเป็นรูปธรรมว่า เหตุใดจังหวัดชายแดนจะต้อง ‘จัดการตนเอง’ ทั้ง ๆ ที่หากมองตามหลักความมั่นคงแล้ว พื้นที่ชายแดนไม่ว่าประเทศไหนก็มีลักษณะเสี่ยงต่อปัญหาภัยคุกคามความมั่นคงจากประเทศเพื่อนบ้านแทบทั้งสิ้น
และหากตัดประเด็นความมั่นคงออกไป มาเป็นปัญหาการจัดการเศรษฐกิจข้อนี้รัฐบาลก่อน ๆ เขาก็ทำกันมาร่วมกับหน่วยงานรัฐหลายส่วน ลำพังตัวจังหวัดในฐานะตัวแสดงเดียวไม่สามารถบริหารจัดการเศรษฐกิจชายแดนในภาพรวมได้อย่างแน่นอน ดังนั้น การวางแผนและแจกแจงเรื่องจังหวัดจัดการตนเองของพรรคนี้จะต้องมีลักษณะเป็นรูปธรรมมากกว่านี้ เพราะต่อให้ตัวผู้สมัคร ส.ส. พรรคนี้ชนะการเลือกตั้งในเขตนั้น ก็ใช่ว่าจะชนะทั้งจังหวัด (1 จังหวัดมีเขตการเลือกตั้งหลายเขต) และสมมติว่ามีการชนะทั่วทุกเขตจากทั้งจังหวัดจริง นโยบายจัดการตนเองนี้ก็ยังไม่สามารถจัดทำได้ เพราะต้องไปตรากฎหมายให้อำนาจจังหวัดจัดการตนเองดังกล่าวผ่านรัฐสภาก่อน ซึ่งข้าพเจ้าเชื่อแน่ว่าไม่มีทางทำได้อย่างแน่นอน เพราะนอกจากจะเป็นการทำไปในบนหลักการที่ว่า ‘ไม่รู้ว่าผลลัพธ์ที่ได้นั้นจะได้คุ้มเสียหรือไม่’ ท่านสมาชิกสภาจำนวนมากก็คงคิดเห็นว่าประชาชนคนไทยส่วนมากไม่น่าจะได้รับประโยชน์จากนโยบายจังหวัดจัดการตนเองอย่างแน่นอน เพราะไม่ทราบแน่ว่าจะเป็นเพียงการตัดเอาอำนาจของมหาดไทย ไปให้แค่ตระกูลการเมืองตระกูลหนึ่งในจังหวัดเหล่านั้นหรือไม่ เพราะถ้าเป็นเช่นนี้ระบบการเมืองไทยเราจะเข้ารกเข้าพงไปกันใหญ่ ระบบ ส.ส. เขตดึงงบพิเศษซึ่งควรจะเป็นของคนไทยทุกคนไปละลายในจังหวัดย่อมเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นแน่นอน นอกเสียจากว่าจะเกิดหลักประกันแน่แล้วว่า ถ้าเป็นจังหวัดจัดการตนเอง ย่อมใช้แต่เพียงงบประมาณที่จัดเก็บเองในจังหวัดมาดำเนินการภายในส่วนราชการจังหวัด สำหรับตัวข้าพเจ้าเห็นเพียงแต่จังหวัดใหญ่ ๆ ที่มีศักยภาพทางเศรษฐกิจเท่านั้นที่สามารถทำสิ่งนี้ได้ เช่น เชียงใหม่ สงขลา ภูเก็ต และจังหวัดภาคตะวันออกแค่ 1-2 จังหวัดเท่านั้นที่พอจะมีศักยภาพได้ นอกจากนั้นข้าพเจ้ายังไม่เห็นความเป็นไปได้ใด ๆ เลย เว้นแต่ฝันกลางวันของนักการเมืองผู้คิดนโยบายเท่านั้น
ส่วนการที่พรรคเดียวกันนี้ (แท้จริงมีอีกอย่างน้อย 2 พรรค รวมเป็น 3 ที่หาเสียงโดยใช้คำว่า ‘ปาตานี’ ) ออกมาสำแดงความโกรธเกรี้ยวกับการที่ภาครัฐไม่ยินยอมให้ใช้คำว่า ‘ปาตานี’ ในการหาเสียง ในข้อนี้ข้าพเจ้าเห็นด้วยและเข้าอกเข้าใจเจ้าหน้าที่รัฐอย่างมาก เหตุเพราะเป็นที่ทราบแน่แล้วว่า ‘ปาตานี’ เป็นคำใหม่ที่ไม่เคยมีอยู่จริง ถามคนเก่า ๆ ในพื้นที่ก็ไม่มีใครรู้จัก (เว้นเสียจะเป็นพวกชาตินิยมหรือแนวร่วมขบวนการฯ) และปัจจุบัน ‘ปาตานี’ ถูกยอมรับกันว่าเป็นคำทางการเมืองที่ถูกใช้โดยขบวนการแบ่งแยกดินแดน (BRN) การที่พรรคการเมืองใดใช้คำนี้ ทำให้อดนึกไม่ได้ว่าเหตุใดทั้งประชาชนส่วนใหญ่และเจ้าหน้าที่ จึงพร้อมใจเห็นว่าการที่พรรคการเมืองใดใช้คำนี้มาหาเสียงเป็นภัยคุกคามอย่างยิ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนพุทธส่วนใหญ่ในพื้นที่ไม่ยอมรับว่าตนเป็น ‘คนปาตานี’ อย่างแน่นอน พวกเขาคือคนไทย และภายใต้มุมมองเดียวกันนี้ ไม่ว่าคน 3 จังหวัดคนใด จะนับถือศาสนาอะไร เชื้อชาติอะไร แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าพวกเขาอยู่ภายใต้ระบบการเมืองของไทยเหมือนกันหมด การแบ่งแยกให้ประชาชนเป็นอื่น (alienation) เป็นการกระทำที่ขัดหลักการประชาธิปไตยเป็นอย่างยิ่ง
ด้วยเหตุนี้ ‘นโยบายพิเศษเฉพาะท้องที่พิเศษ’ ในลักษณะการเน้นชาติพันธุ์หนึ่งใดให้มีคุณลักษณะพิเศษจนสมาทานตนได้ว่าเป็นอัตลักษณ์ของพื้นที่ นี่เป็นสิ่งที่การเมืองแห่งอัตลักษณ์ (Identity politics) กำลังทำงานอยู่ การหาเสียงเช่นนี้เป็นการสร้างความแตกแยกให้แก่สังคม เพราะท้ายที่สุดแล้วอัตลักษณ์ไม่ว่าจะอัตลักษณ์แห่งชาติหรือท้องถิ่น ก็ย่อมมีการเมืองเป็นของตนเองอย่างเลี่ยงไม่ได้
การทำให้การเมืองแห่งอัตลักษณ์เป็นสิ่งที่ยอมรับได้ในการหาเสียงนั้นเป็นสิ่งที่เป็นอันตราย ดังที่เคยเกิดขึ้นในประเทศแถบแอฟริกา เพราะเมื่อชาติพันธุ์ใดที่มีจำนวนมากกว่าเอาชนะการเลือกตั้ง ก็มักออกนโยบายที่กดทับชาติพันธุ์อื่น ๆ ประชาธิปไตยจึงเป็นเพียงเครื่องมือของผู้ที่มีประชากรมากกว่าเท่านั้น ซึ่งเป็นหลักการที่ไม่ยุติธรรมหากเราเชื่อว่าทุกคนเสมอกันภายใต้รัฐธรรมนูญ
ด้วยเหตุนี้ นี่จึงเป็นเหตุผลที่ ข้าพเจ้า พ.ต.ท.หลวงอนุมานขจัดเภทภัย ขอต่อต้านนโยบายที่ชูคำว่า ‘ปาตานี’ อย่างถึงที่สุด และขอฝากกำลังใจให้กับเจ้าหน้าที่รัฐในการช่วยงดการใช้คำ ๆ นี้ในทุก ๆ กรณี