
“ทำลายสิ่งที่เป็นอยู่ แล้วสร้างสิ่งใหม่” อุดมการณ์ของ Red Guard ที่ตกยุคไปแล้ว
ถ้าเรามองย้อนไปในประวัติศาสตร์โลก หนึ่งในขบวนการทางการเมืองที่เคลื่อนไหวโดยเยาวชน ที่ทรงพลังและเป็นที่จดจำมากที่สุดคือ “ยุวชนแดงจีน” หรือ Red Guard ซึ่งเป็นขบวนการที่มีพลังขับเคลื่อนสูง และสะท้อนถึงการถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองในคราบของ “อุดมการณ์คอมมิวนิสต์บริสุทธิ์” โดยผลพวงที่เกิดขึ้นจากการกระทำของขบวนการเหล่านี้ถือเป็น “บทเรียนราคาแพง” ที่จีนต้องแบกรับมาจนทุกวันนี้
และดูเหมือนวิธีการของกลุ่ม Red Guard จะเป็นโมเดลที่ทาบทับเข้ากับแนวทางการเคลื่อนไหวทางการเมืองของไทยได้อย่างพอดีราวกับก๊อปปี้กันมา โดยเฉพาะการใช้คนรุ่นใหม่เป็นเครื่องมือ ปลุกปั่นเยาวชนด้วยวาทกรรม “ทำลายสิ่งที่เป็นอยู่ แล้วสร้างสิ่งใหม่” ซึ่งวิธีเหล่านี้เป็นแนวทางเดิม ๆ ของกลุ่มฝักใฝ่คอมมิวนิสต์ ที่พยายามปลุกเร้ามวลชนให้ออกมาเคลื่อนไหว สร้างความวุ่นวายและนำประเทศไปสู่ความวิบัติ เช่นเดียวกับที่ขบวนการ Red Guard ได้กระทำไว้
ขบวนการยุวชนแดงจีน (Red Guard) ก่อตั้งขึ้นเพื่อพิทักษ์และรักษาอุดมการณ์ของผู้นำทางการเมืองของสาธารณรัฐประชาชนจีน ณ ขณะนั้น คือ เหมา เจ๋อตง ที่มีแนวคิดทางการเมืองแบบคอมมิวนิสต์เหมาอิสต์ (Maoist Communism)
โดยขบวนการนี้เริ่มมีตัวตนขึ้นมาในปี ค.ศ. 1966 ซึ่งเป็นช่วงที่อำนาจทางการเมืองของเหมาเริ่มสั่นคลอนจากการตัดสินใจนโยบายที่ผิดพลาดร้ายแรง เช่น นโยบาย Great Leap Forward ที่มีวัตถุประสงค์ในการแปรสภาพจีนเป็นรัฐอุตสาหกรรมในปี ค.ศ. 1958 แต่เนื่องจากมีการบังคับใช้นโยบายอย่างสุดโต่งและให้ความสำคัญกับผลผลิตทางอุตสาหกรรมมากกว่าผลผลิตทางการเกษตร ทำให้เกิดภาวะอดอยากทั่วประเทศและมีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมาก จนทำให้ต้องยุตินโยบายดังกล่าวในเวลาต่อมา และเริ่มเป็นเหตุทำให้เหมาเริ่มค่อย ๆ สูญเสียอำนาจมากขึ้นเรื่อย ๆ
จนกระทั่งการเข้ามาสร้างอิทธิพลของกลุ่มคนใกล้ชิดทั้ง 4 ของเหมา ที่เรารู้จักกันในนาม Gang of Four นำโดย เจียงชิง ภรรยาลำดับที่ 4 ของเหมา เจ๋อตง และสมาชิกอีกสามคนคือ จาง ชุนเฉียว, เหยา เหวินหยวน และ หวัง หงเหวิน ประกอบกับฐานอำนาจของเหมาที่เริ่มสั่นคลอนลงเรื่อย ๆ จนนำไปสู่การเปิดทางให้เจียงชิงและคนใกล้ชิด เริ่มผลักดันการ “ปฏิวัติวัฒนธรรม” ผ่านขบวนการ Red Guard เพื่อกระชับอำนาจเข้าสู่กลุ่มของเหมา เจ๋อตง อีกครั้ง
โดยการปฏิวัติวัฒนธรรมของขบวนการ Red Guard มีจุดมุ่งหมายเพื่อกำจัดศัตรูทางการเมือง และสร้างค่านิยมใหม่ที่มีความเป็นคอมมิวนิสต์อย่างแท้จริง ผ่านแนวคิดที่พยายามถอนรากถอนโคนวัฒนธรรม ตลอดจนความเก่าแก่ที่จับต้องได้ออกไป และแทนที่ด้วยค่านิยมแบบกรรมาชีพจีน ซึ่งสิ่งเหล่านี้ได้กลายเป็นภาพลักษณ์ของคนจีนบางส่วนในทุกวันนี้ ที่มีพฤติกรรมออกไปทางลักษณะที่ดูไม่ค่อยมีมารยาทร่วมกันมากนัก
ซึ่งหากมองย้อนกลับไป มันคือการปรับสู่แนวความคิดใหม่ของคนจีนในขณะนั้น ภายใต้แรงกดดันที่ว่า หากไม่ยอมรับการปฏิวัติวัฒนธรรมก็จะโดนผลที่ตามมาอย่างรุนแรงในหลายวิธี เช่น การถูกประจานว่าเป็นพวกความคิดเก่า การถูกคุมขัง การสร้างความทรมานทั้งร่างกายและจิตใจ ฯลฯ และทางเหมา เจ๋อตง ตลอดจนกลุ่มใกล้ชิดทั้ง 4 ก็ยังมีการกำชับให้หน่วยงานรักษากฎหมายต่าง ๆ เช่น หน่วยงานตำรวจ หน่วยงานกึ่งทหาร หน่วยงานทหาร ไม่ให้ยุ่งและขัดขวางกับการเคลื่อนไหวของขบวนการ Red Guard จึงทำให้การเมืองและสังคมจีนในขณะนั้นไม่ค่อยมีเสถียรภาพและเกิดความระส่ำระสายบ่อยครั้ง โดยเฉพาะตามเมืองใหญ่ต่าง ๆ
การกระทำของกลุ่ม Red Guard จะมองแนวคิดเก่าว่าเป็นสิ่งที่ต้องถูกกำจัดออกไป เพื่อแทนที่ด้วยขนบธรรมเนียมใหม่ วัฒนธรรมใหม่ นิสัยใจคอใหม่ และความคิดใหม่ของจีน ภายใต้บริบทของการสร้างอุดมคติบริสุทธิ์ และผู้คนที่ยังยึดติดอยู่กับแนวคิดเก่า โดยเฉพาะในประเด็นวัฒนธรรมและศาสนา จะต้องถูกทำลายอย่างสิ้นซาก เช่น ศาสนสถานและพื้นที่สำคัญทางวัฒนธรรมถูกทำลายลง ห้องสมุดและพื้นที่ ที่มีการบรรจุซึ่งข้อมูลทางประวัติศาสตร์อันล้ำค่าก็ถูกเผาทำลาย เพื่อแทนที่ด้วยประวัติศาสตร์ใหม่ที่คอมมิวนิสต์เป็นผู้เขียนขึ้น และบุคคลที่มีศรัทธาในศาสนาหรือความเชื่อเก่าก็จะถูกนำมาประจาน ทรมาน หรือสังหารอย่างเหี้ยมโหด ซึ่งสามารถเห็นได้จากกรณีของพุทธศาสนิกชนในทิเบต ที่ถูกบังคับให้ต้องทำลายศาสนสถานของตนเองโดยกลุ่มยุวชนแดง และทุกอย่างยิ่งเลวร้ายลงไปอีก เมื่อขบวนการ Red Guard ทำให้เจียงชิงและกลุ่มใกล้ชิดมีอิทธิพลมากขึ้นและสามารถกำหนดนโยบายต่าง ๆ ในประเทศได้ อาทิเช่น การสรรสร้างศิลปะแนวใหม่ที่มองโลกเป็นขาว-ดำ ซึ่งจะมองกรรมาชีพเป็นคนดีของสังคมอุคมคติ ส่วนชนชั้นนายทุนทั้งหมดเป็นคนเลว
ต่อมาเมื่ออิทธิพลของขบวนการ Red Guard มีสูงขึ้น ประกอบกับการที่ Red Guard ในแต่ละมณฑล เริ่มแบ่งแยกและโจมตีกันเองด้วยวิธีต่าง ๆ รวมถึงมีการใช้กำลังทำร้ายกัน รัฐบาลจึงกังวลว่าเสถียรภาพทางการเมืองและสังคมจีนอาจสั่นคลอนยิ่งกว่าเดิม จึงได้มีการเชิญให้กลุ่ม Red Guard ไปพัฒนาพื้นที่ชนบทร่วมกับกลุ่มกรรมาชีพ คือ ชาวนาและกรรมกร ในมณฑลต่าง ๆ ทั่วประเทศ และทยอยลดบทบาทของกลุ่มเหล่านี้ลง ซึ่งจะเป็นการเปิดทางให้กองทัพปลดปล่อยประชาชนมีอิทธิพลมากขึ้น
และเมื่อเหมา เจ๋อตง ถึงแก่อสัญกรรมในปี ค.ศ. 1976 ก็มีการวางทายาททางการเมืองให้ ฮั่ว กั๋วเฟิง เป็นผู้สานต่อ ซึ่งปรากฎว่าหลังจากนั้น ฮั่ว กั๋วเฟิง ได้กวาดล้างกลุ่มคนใกล้ชิดของเหมา ซึ่งรวมทั้งผู้สนับสนุนขุมอำนาจของกลุ่ม Red Guard อย่าง เจียงชิง ออกไปจากสมการอำนาจทางการเมืองของจีน และใช้นโยบายที่ผ่อนคลายลง ตลอดจนผลักดันการปฏิรูปแบบสายกลางแต่ยังคงยอมรับแนวคิดทางการเมืองของเหมาอยู่บ้าง จนกระทั่งการเข้ามาของ เติ้ง เสี่ยวผิง ในช่วงปี ค.ศ. 1978 ที่มาพร้อมกับการปฏิรูปทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมเชิงปฏิบัตินิยม เปลี่ยนประเทศไปสู่แนวคิดสังคมนิยมแบบจีนและทุนนิยมที่กำกับโดยรัฐ อันเป็นจุดขายของจีนยุคใหม่
จากข้อมูลทั้งหมดนี้ จะเห็นได้ว่า ปรากฏการณ์ของกลุ่ม Red Guard คือการจัดตั้งขบวนการเพื่อสร้างผลประโยชน์ทางการเมือง และสนองแนวคิดอุดมการณ์คอมมิวนิสต์บริสุทธิ์ เป็นวิธีการสำคัญของกลุ่มขั้วอำนาจเหมา เจ๋อตง ที่ใช้งานเยาวชนซึ่งมีความศรัทธาในอุดมการณ์คอมมิวนิสต์ มาเป็นเครื่องมือในการบรรลุเป้าหมายทางการเมืองของตน
สิ่งเหล่านี้แทบไม่ต่างอะไรกับการเคลื่อนไหวทางการเมืองของไทยในปัจจุบัน ที่มีคนคอยชักใยอยู่เบื้องหลัง และพยายามปลูกฝังแนวคิด “ทำลายสิ่งที่เป็นอยู่ แล้วสร้างสิ่งใหม่” ใส่สมองเยาวชน ซึ่งการออกมาปลุกเร้าแบบนี้เป็นวิธีที่โบราณล้าสมัยของพวกฝักใฝ่ “คอมมิวนิสต์” ที่สุดท้ายมีแต่จะนำบ้านเมืองไปสู่ความวอดวาย และตกต่ำซ้ำรอยเดียวกับการปฏิวัติวัฒนธรรมของกลุ่ม Red Guard นั่นเอง