ถ้าทุกคนเข้มแข็ง มุ่งหน้าที่จะเรียนรู้ มุ่งหน้าที่จะตั้งตัวเป็นคนดี ก็เท่ากับทุกคนเป็นทหารทั้งชายทั้งหญิง ช่วยบ้านเมืองให้ดำรงอยู่…
“ในปัจจุบันนี้ ศัตรูของเรามาในรูปการก่อการร้าย มาด้วยอาวุธก็มาก แต่มาในรูปก่อการร้ายด้วยการยุยงให้แตกแยกกันก็มากเหมือนกัน และไม่ใช่ตามชายแดน ในเมืองใหญ่ๆ ในภาคต่างๆ ทุกภาค แม้แต่ภาคกลางนี้ แม้แต่กรุงเทพฯ นี้ ก็มีการแทรกซึมและการยุแหย่ให้เกิดแตกสามัคคี ให้เกิดความยุ่งยาก เป็นสงครามสมัยใหม่ ขอให้พิจารณาดู
ถ้าทุกคนเข้มแข็ง มุ่งหน้าที่จะเรียนรู้ มุ่งหน้าที่จะตั้งตัวเป็นคนดี ก็เท่ากับทุกคนเป็นทหารทั้งชายทั้งหญิง ช่วยบ้านเมืองให้ดำรงอยู่ และเมื่อบ้านเมืองดำรงอยู่แล้ว เอกชนทุกคนก็จะอยู่ได้ด้วยความผาสุก”
พระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร
พระราชทานแก่คณะกรรมการจัดงานชุมนุมนักศึกษาชาวเหนือ
ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน
เมื่อวันที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2513
กว่า 70 ปีที่ทรงครองราชย์ ในหลวง ร.9 ทรงทุ่มเทพระวรกาย เสด็จไปยังพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศ เพื่อเข้าถึงชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนคนไทยในท้องที่ทุรกันดาร ซึ่งในสมัยสี่ห้าสิบปีก่อน หลายภูมิภาคของไทยยังเป็นพื้นที่อันตราย ทั้งจากภัยคุกคามนอกประเทศ หรือยังมีปัญหารุ้มเร้าที่อาจนำไปสู่ความแตกแยกของคนไทย ไม่ว่าจะเป็นปัญหายาเสพติดทางภาคเหนือ ปัญหาความยากจนและภัยคอมมิวนิสต์ทางภาคอีสาน หรือปัญหาความแตกต่างทางเชื้อชาติวัฒนธรรมของพี่น้องมุสลิมภาคใต้
การทรงงานและเข้าถึงประชาชนของพระองค์ ถือเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้ประเทศไทยผ่านวิกฤตความแตกแยกเหล่านั้นมาได้ และทำให้บ้านเมืองเป็นปึกแผ่นถึงทุกวันนี้ ซึ่งสิ่งต่างๆ เหล่านี้ยังคงได้รับการสืบสาน รักษา และต่อยอดโดยในหลวง ร.10 มาอย่างสม่ำเสมอ
อย่างไรก็ตาม ทุกวันนี้กลับมีคนบางกลุ่มพยายามทำให้เกิดความแตกสามัคคีในหมู่คนไทย หรือแบ่งแยกไทยให้ไกลจากความเป็นชาติ โดยอาศัยคำว่าเสรีภาพบังหน้า เพื่อชักนำไปสู่ผลประโยชน์ของตัวเองบนความแตกแยกของชาติบ้านเมือง ดังนั้น จึงถือเป็นหน้าที่ของคนไทยที่จะต้องมีสติ รู้เท่าทัน รวมถึงตระหนักและทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุดเพื่อให้บ้านเมืองดำรงอยู่ต่อไป ดังพระราชดำรัสข้างต้น ซึ่งมาจากสายพระเนตรอันยาวไกลของในหลวง ร.9
