ตำนานยักษ์กินคน ‘สยามพุงเขียว’ ปีศาจที่คนมลายูสร้างจนกลัวสยามทั้งแผ่นดิน อาจมาจาก ‘เรื่องจริง!’
บทความโดย จีรวุฒิ (อุไรรัตน์) บุญรัศมี
มีเรื่องเล่าทำนองไว้ขู่เด็ก ๆ ชาวมาเลย์ในรัฐเคดาห์หรือไทรบุรีในปัจจุบันว่าถ้าหากเด็กคนไหนดื้อและร้องไม่หยุด เดี๋ยว ‘เซียม เปอรุต ฮีเจา – สยามพุงเขียว’ (Siam Perut Hijau) จะมาจับไปกิน คำขู่นี้เป็นที่รับรู้อย่างกว้างขวางในพื้นที่มลายูตอนเหนือ ‘สยามพุงเขียว’ เป็นที่ประจักษ์ว่าสื่อนัยภาพพจน์ของสยามในแง่ลบสำหรับชาวมลายู (ทั้งในอดีตและปัจจุบัน) เพราะเป็นการให้นิยามแก่ชาวสยามว่าเป็น ‘พวกโหดร้ายทารุณและไร้หัวใจ’ [1] กระทั่งเมื่อเร็ว ๆ นี้ละครเวทีที่จัดแสดงในไทรบุรีเรื่องหนึ่งอันเป็นละครอิงประวัติศาสตร์สงครามไทรบุรีช่วงรัชกาลที่ 3 ก็ได้ให้ภาพว่ากษัตริย์แห่งสยาม (Rajah of Siam) โหดร้ายทารุณมากเพราะได้สังหารเชลยมลายูก่อนจะควักเอาหัวใจออกมากินสด ๆ พร้อม ๆ กับเลือดที่นองไปทั่ว
นอกจากไทรบุรีแล้ว ปัตตานีเองก็ใช้คำว่า ‘สยามพุงเขียว’ โจมตีสยามในแง่ลบเหมือนกัน ดังเช่นที่ปรากฎแผ่นป้ายผ้าโจมตีรัฐบาลไทยหลังจากขบวนการแบ่งแยกดินแดนได้สังหารชาวไทยพุทธเสียชีวิต 1 คนที่อำเภอโคกโพธิ์เมื่อเดือนกรกฎาคม 2562 ข้อความบนป้ายผ้าดังกล่าวปรากฏคำว่า ‘เซียม เปอรุต ฮีเจา – สยามพุงเขียว’ (Siam Perut Hijau) เพื่อโจมตีความโหดร้ายจากการปราบปรามของรัฐบาลไทยต่อชาวปัตตานี [2]
หากกลับไปยังจุดกำเนิดของวาทกรรม ‘สยามพุงเขียว’ นี้ เชื่อกันว่าเกิดขึ้นในยุค ‘สงครามสยาม-ไทรบุรี’ ตรงกับช่วงสมัยรัชกาลที่ 3 ดังที่ได้กล่าวไปแล้ว (หรือรู้จักกันในโลกมลายูว่า ‘สงครามเสียงกระซิบ – Perang Musuh Bisik’) ศึกครั้งนั้นกินระยะเวลากว่าหลายปีและได้สร้างความเสียหายแก่การค้าและการเมืองบริเวณไทรบุรีอย่างมากเรียกได้ว่าเกือบจะเป็นเมืองร้างเลยทีเดียว เพราะผู้คนถูกกวาดต้อนจากไทรบุรีมาอยู่นครศรีธรรมราชและกรุงเทพจำนวนมาก โดยชาวมาเลย์ในปัจจุบันเชื่อว่าความโหดร้ายทารุณของสยามที่กระทำต่อชาวเมืองไทรบุรีในครั้งนั้นอาจกลายเป็นที่มาของวาทกรรม ‘สยามพุงเขียว’ ก็เป็นได้
ทำไมพวกสยามต้องพุงเขียว ?
อย่างไรก็ดี จะแน่ใจได้อย่างไรว่า ‘สยามพุงเขียว’ เกิดขึ้นในสมัยสงครามไทรบุรีจริง ๆ ? เรื่องนี้เป็นคำถามที่ยากจะตอบได้เพราะลักษณะอันเป็นมุขปาฐะนั้นบางครั้งก็ยากยิ่งที่จะสืบไปถึงปฐมเหตุหรือที่มาอย่างชัดเจนได้ สำหรับผู้เขียนแล้ว ‘สยามพุงเขียว’ นั้นอาจมีได้ 2 นัย นัยแรกอย่างที่ชาวมาเลย์ได้ให้ภาพแล้วว่าพวกสยามโหดร้ายมากกระทั่งควักหัวใจคนมากินสด ๆ ได้ ซึ่งนี่เท่ากับเป็นการสร้างให้พวกสยามเป็น ‘กึ่งคนกึ่งปีศาจ’ กล่าวคือการกินหัวใจคนสด ๆ นั้นไม่ใช่พฤติกรรมของคนสยามทั่วไป เพราะหากจะกล่าวถึงการกินเนื้อมนุษย์นั้น ก็ย่อมต้องหมายถึงบรรดายักษ์หรืออสูรตามเรื่องเล่าท้องถิ่นที่ทั้งไทยและมาเลย์มีเหมือนกัน (ยักษ์กินคน) และหากตีความ ‘สยามพุงเขียว’ อย่างตรง ๆ ด้วยพฤติกรรมกินเลือดเนื้อมนุษย์ด้วยกันแล้ว เป็นที่เข้าใจได้ง่ายทันทีว่า ‘ชาวสยาม’ ในสายตาของคนมาเลย์คือ ‘กึ่งอสูรกาย’ ดี ๆ นี่เอง และไม่ใช่ว่าเรื่องนี้จะเป็นสิ่งที่เหลวไหล เพราะใน Hikayat Marong Mahawangsa (พงศาวดารราชสำนักไทรบุรี) อันเป็นงานเขียนเชิงวรรณกรรมจารีตของมลายูไทรบุรีก็กล่าวถึงความเป็นไปได้ที่มนุษย์กับยักษ์จะแต่งงานและสืบเผ่าพันธุ์ได้ ตัวอย่างของกษัตริย์องค์หนึ่งของไทรบุรี คือ รายาเขี้ยว (รายาเบอซิยง – Rajah Bersiong) ก็มีพระราชมารดาเป็นยักษ์รากษสเกอกาซี (Girgassi) อันมีศักดิ์เป็นหลานของพระนางเมรี (ล้อกับพระรถเมรีของไทย) ดังนั้น รายาเขี้ยวจึงมีสถานะเป็น ‘ครึ่งมนุษย์ครึ่งอสูรกาย’ อีกทั้งยังมีนิสัยชอบกินเลือดกินหัวใจมนุษย์จนพลเมืองไทรบุรีต้องเดือดร้อนจนถูกขับไล่ออกจากพระราชบัลลังก์ [3] หากเอาตรรกะเดียวกับ ‘รายาเขี้ยว’ ซึ่งเป็นเรื่องที่ชาวไทรบุรีในอดีตรับรู้เป็นอย่างดีมาสวมกับ ‘สยาม’ เรื่องพวกสยามกินเลือดกินหัวใจมนุษย์จึงไม่น่าจะเป็นเรื่องที่เหลวไหลในสายตาชาวบ้านมาเลย์ที่ยึดมั่นกับตำนานท้องถิ่นอย่างเหนียวแน่นแต่อย่างใด
หรือสยามพุงเขียว จะเป็น ‘มนุษย์พุงเขียว’ จริงดังว่า ?
นอกจากความโหดร้ายของรายาเขี้ยวแล้ว Hikayat Marong Mahawangsa ยังเคยกล่าวถึงกองทัพของพวกคนอื่นที่ไม่ใช่มาเลย์ที่เคยยกทัพจะมาตีไทรบุรี นั่นก็คือ ทัพของ ‘รายากาลานาฮิตัม’ (Rajah Kalana Hitam) หรือ รายาโจรดำ ซึ่ง Hikayat ก็ระบุชัดเจนว่าเหตุที่รายาองค์นี้ได้ลักษณะว่าเป็น ‘สีดำ’ (Hitam) เพราะเขาสักตรงช่องท้องเป็นสีดำ น่าสนใจว่าการสักแบบนี้นั้นพบได้ทั้งในวัฒนธรรมของพม่า ชาวไทย ชาวลาว และชาวล้านนา ด้วยเหตุนี้ หากตัดเรื่องมุขปาฐะความโหดร้ายทารุณของสยามที่เชื่อว่าเกิดจากการกินเลือดกินหัวใจออกไป เป็นไปได้หรือไม่ว่า ‘สยามพุงเขียว’ ก็คือการหมายความตรง ๆ เลยว่าคือ ‘กองทัพสยามที่ตัวเขียวจากการสักทั่วร่างกายโดยเฉพาะที่ท้องเป็นสีเขียว’ ? เพราะประเด็นนี้เป็นที่ทราบดีอยู่แล้วว่าทหารไทยในอดีตมักจะสักยันต์ไว้ทั่วทั้งตัวเพราะเชื่อว่าจะช่วยให้แคล้วคลาดคงกระพัน ส่วนเรื่องการกินเลือดกินหัวใจคนนั้นเป็นเรื่องแต่งเติมเสริมขึ้นมาของชาวมาเลย์เองเพื่อสร้างให้ภาพของสยามในสายตาของพวกเขาดูโหดร้ายทารุณมากขึ้นก็เป็นได้
อ้างอิง :
[1] The Siamese Farang: Quest for Siwilai and Identity
[2] สัญญะจากป้ายผ้าผืนล่าสุด…วาทกรรมย้ำความโหดร้ายในสงครามสยาม-มลายู
[3] Hikayat Marong Mahawangsa (พงศาวดารราชสำนักไทรบุรี)