ตอนที่ 2 : กลยุทธถ่วงดุลชาติอาณานิคม กับการเดินทางครึ่งโลกของ รัชกาลที่ 5
การเสด็จประพาสยุโรปครั้งแรกของในหลวงรัชกาลที่ 5 อันเป็นดินแดนต่างทวีปซึ่งอยู่อีกซีกโลก เป็นเวลานานถึง 9 เดือน (เมษายน – ธันวาคม พ.ศ. 2440) นับได้ว่าเป็นการปฏิบัติพระราชกรณียกิจครั้งสำคัญในการดำเนินกุศโลบายป้องกันไม่ให้สยามตกเป็นเมืองขึ้นของเหล่ามหาอำนาจตะวันตกในขณะนั้น
การเตรียมการเสด็จอย่างเป็นทางการเริ่มขึ้นตั้งแต่วันที่ 22 กุมภาพันธ์ ต้นปี ร.ศ. 115 (พ.ศ. 2439) โดยเสนาบดีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ พระเจ้าน้องยาเธอกรมหลวงเทวะวงษ์วโรปการ มีหนังสือแจ้งไปยังราชทูตประเทศต่างๆ 12 ประเทศ หลังจากมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ว่า มีพระราชประสงค์จะเสด็จพระราชดำเนินประเทศยุโรปในเดือนเมษายน ร.ศ. 116 (พ.ศ. 2440) สามารถสรุปประเทศและจำนวนวันที่เสด็จประพาส ได้ดังนี้
1. ประเทศอิตาลี วันที่ 14 – 16 พฤษภาคม ครั้งที่ 2 วันที่ 1 มิถุนายน และวันที่ 27 ตุลาคม – 3 พฤศจิกายน
2. ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ วันที่ 16 พฤษภาคม – 1 มิถุนายน
3. ประเทศออสเตรีย-ฮังการี วันที่ 22 มิถุนายน – 1 กรกฎาคม
4. ประเทศรุสเซีย วันที่ 1 กรกฎาคม – 11 กรกฎาคม
5. ประเทศสวีเดน วันที่ 12 กรกฎาคม – 20 กรกฎาคม
6. ประเทศเดนมาร์ค วันที่ 21 กรกฎาคม – 26 กรกฎาคม
7. ประเทศอังกฤษ วันที่ 29 กรกฎาคม – 21 สิงหาคมและวันที่ 17 กันยายน – 2 ตุลาคม
8. ประเทศเยอรมัน วันที่ 22 สิงหาคม – 6 กันยายนและวันที่ 4 – 9 ตุลาคม
9. ประเทศฮอลแลนด์ วันที่ 6 กันยายน – 11 กันยายน
10. ประเทศฝรั่งเศส วันที่ 11 กันยายน – 17 กันยายนและวันที่ 10 – 14 ตุลาคม
11. ประเทศสเปน วันที่ 15 ตุลาคม – 20 ตุลาคม
12. ประเทศโปรตุเกส วันที่ 21 ตุลาคม – 25 ตุลาคม
หากพิจารณาวัตถุประสงค์หลักของการเสด็จประพาสยุโรปในปี พ.ศ. 2440 จะพบว่า เหตุผลหลักในการปฏิบัติพระราชกรณียกิจในครั้งนั้นคือ ความอยู่รอดของประเทศ การเสด็จประพาสในครั้งนั้นเป็นการไปเพื่อเจรจากับฝรั่งเศสบอกให้รู้ว่าสยามต้องการมีไมตรีด้วยอย่างยิ่ง และเพื่อให้ใกล้ชิดกับอังกฤษมากขึ้น
อีกทั้งยังเป็นการผูกไมตรีกับมหามิตรใหม่อย่างรัสเซียและเยอรมนี เพื่อดำเนินนโยบายถ่วงดุลอำนาจ “cauchemar des coalitions” (เป็นศัพท์ที่สมัยผู้นำรัสเซียใช้ ตอนกอบกู้อิสรภาพและสามารถนำประเทศมาอยู่แนวหน้าของโลกได้) และเพื่อกระชับสานสัมพันธไมตรีกับราชสำนักยุโรปอื่นๆ ที่เคยติดต่อกันมาช้านานตั้งแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา แต่พระมหากษัตริย์สยามยังไม่เคยเสด็จพระราชดำเนินเยือน เช่น โปรตุเกส
ผลจากการเสด็จประพาสในครั้งนั้น ทำให้เกิดการผูกมิตรแน่นแฟ้นขึ้นระหว่างสยามกับมหาอำนาจอย่างรัสเซีย ส่งผลให้ฝรั่งเศสและอังกฤษเกิดความเกรงใจที่จะรุกรานล่าอาณานิคมประเทศสยาม
อย่างไรก็ตาม ในขณะนั้นก็ได้เกิด “ข่าวลือ” ทั้งในหมู่ชาวไทยและชาวต่างประเทศขึ้นมาว่า ในหลวงรัชกาลที่ 5 เสด็จพระราชดำเนินเยือนยุโรปเพื่อ “ไปเที่ยว” แต่จากหลักฐานในหนังสือของนักเดินทางชาวเชค-อเมริกัน นามว่า เอนริค สตังโก วราส (Enrique Stanko Vraz) ที่บังเอิญอยู่ในราชอาณาจักรสยามในขณะนั้น ได้บันทึกพระราชดำรัสของในหลวงรัชกาลที่ 5 ที่มีต่อบรรดาทูตานุทูตยุโรปในวันก่อนเดินทางเสด็จฯ หนึ่งวัน ความว่า …
“การเดินทางของข้าพเจ้า ไม่ใช่เรื่องสนุก ข้าพเจ้าเสด็จไปยุโรปเพื่อรับทราบข้อดีทั้งหมดจากประเทศตะวันตก และเลือกสิ่งที่เหมาะสมกับประเทศของข้าพเจ้า”
“May the purpose of my voyage is not amusement, I go to Europe to get known all advantages of the West and choose the ones suitable to my country”
ผลสำเร็จที่เกิดขึ้นจากการเสด็จประพาสในครั้งนี้ ปรากฏในหนังสือกราบบังคมทูลจากกรุงลอนดอนของพระเจ้าน้องยาเธอ พระองค์เจ้าสวัสดิโสภณ ที่กล่าวว่า การที่จะได้รับการยอมรับว่า “ศิวิไลซ์” อย่างผู้เท่าเทียมและเป็นส่วนหนึ่งของมหาสมาคมยุโรป ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะต้องอาศัยบุคลิก การปฏิบัติตน ตลอดจนสติปัญญาที่เฉลียวฉลาดในการวางตนและเจรจาโต้ตอบด้วยไหวพริบให้ทันกันด้วย ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงทำสำเร็จได้ด้วยพระปรีชาสามารถ เช่น การที่พระมหากษัตริย์แห่งสยามทรงตรัสภาษาอังกฤษได้อย่างคล่องแคล่ว แสดงความรู้รอบตัวในวัฒนธรรมและกิจการของยุโรปเป็นอย่างดี จึงเป็นข้อได้เปรียบสำคัญในการได้มาซึ่งการยอมรับจากบรรดาชาติตะวันตก
ข้อความต่างๆ ที่ปรากฏในพระราชหัตถเลขาส่วนพระองค์นั้น ยังแสดงให้เห็นว่า ความสนพระทัยของในหลวงรัชกาลที่ 5 ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่เรื่องการเมือง แต่ยังครอบคลุมไปถึงสิ่งที่จะสามารถนำกลับมาพัฒนาบ้านเมืองได้ ไม่ว่าจะเป็นงานด้านการเกษตรในสวิตเซอร์แลนด์ การชลประทานและเรื่องพลังงานที่เมืองเวนิส การป่าไม้และกิจการไม้ที่สวีเดน และการทหารในเยอรมนี
ความสนพระทัยและรอบรู้ของในหลวงรัชกาลที่ 5 ยังกว้างขวางไปถึงการ “ดูคน” “อ่านคน” และ “ผูกน้ำใจคน” รวมทั้ง “อ่านกิจการบ้านเมือง” ของยุโรปและราชสำนักยุโรปได้อย่างทะลุปรุโปร่ง
และการเสด็จประพาสของพระองค์ในครั้งนั้น ก็เป็นไปด้วยท่าทีของ “เจ้าแผ่นดิน” ที่เสด็จพระราชดำเนินเยือนยุโรปและเจรจาการเมืองอย่าง “เท่าเทียม” ซึ่งเรื่องนี้ได้ปรากฏชัดเจนในเอกสารเรื่องการเสด็จประพาสยุโรปครั้งที่ 1 พ.ศ. 2440 อยู่ตลอดว่า …
“เจ้าแผ่นดินสยาม มิได้เสด็จมาอย่างกษัตริย์ผู้น่าสงสารที่มาขอความช่วยเหลือจากมหาอำนาจประเทศหนึ่ง เพื่อให้เข้ามาจัดการเรื่องระงับเหตุทะเลาะกับมหาอำนาจอีกประเทศหนึ่ง”
จะเห็นได้ว่า การที่พระมหากษัตริย์แห่งสยามและประเทศสยามได้รับการยอมรับจากชาวยุโรปในขณะนั้น เป็นเพราะในหลวงรัชกาลที่ 5 ท่านได้ทรงรับแนวคิดตะวันตก มีความรู้แบบตะวันตก เข้าใจวิธีคิดของชาวตะวันตกและ “พูด” กับฝรั่งตะวันตกรู้เรื่อง เหล่านี้เป็นคุณสมบัติที่แม้แต่ในปัจจุบันก็หาได้ยากยิ่ง สิ่งเหล่านี้สอดคล้องกับแนวคิดในขณะนั้นที่ว่า ชาวตะวันตกจะยอมรับ “ผู้อื่น” เฉพาะที่มีคุณสมบัติสอดคล้องไม่ขัดแย้งกับตนเอง เป็นการยืนยันความภาคภูมิใจในวัฒนธรรมตะวันตกของตนเอง
การยอมรับนี้ได้เกิดผลที่ดีในทางจิตวิทยา ควบคู่ไปกับความสำเร็จของนโยบายถ่วงดุลอำนาจของมหาประเทศ อีกทั้งยังเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดที่ช่วยเผยแพร่พระเกียรติคุณแห่งองค์พระมหากษัตริย์แห่งราชอาณาจักรสยามไปทั่วโลก
และพระเกียรติคุณนี้เองได้กลายเป็นเกราะกำบังภัยอย่างสำคัญ ที่ช่วยให้สยามประเทศรอดพ้นจากอิทธิพลของลัทธิล่าอาณานิคมในเวลาต่อมา และความสำเร็จในครั้งนั้น ทำให้ในหลวงรัชกาลที่ 5 ทรงเป็นพระมหากษัตริย์แห่งสยามที่ได้รับการยกย่องว่าทรงเป็น “The Civilizer of the East” หรือ “ผู้สร้างความศิวิไลซ์แห่งดินแดนตะวันออก”
ตอนที่ 1 : กลยุทธถ่วงดุลชาติอาณานิคม กับการเดินทางครึ่งโลกของ รัชกาลที่ 5
ที่มา :
[1] วัลลภ คล่องพิทยาพงษ์, เส้นทางบุญ 9 วัด 9 รัชกาล
[2] กองจดหมายเหตุ (2523) การเสด็จประพาสยุโรปของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ร.ศ.116 เล่ม 1
[3] ประไพ รักษา, ผลของการเสด็จประพาสของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวที่มีต่อการปรับปรุงประเทศให้ทันสมัย (พ.ศ. 2411-2453.)
[4] พรสรรค์ วัฒนางกูร, ความสัมพันธ์ระหว่างราชอาณาจักรสยามและราชสำนักยุโรปครั้งแรกของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พ.ศ. 2440