จาก ‘ผู้ก่อการ’ สู่ ‘กบฏยังเติร์ก’ รัฐประหารที่ล้มเหลวเองตั้งแต่เริ่ม
ตีสองของวันที่ 1 เมษายน 2524 พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ ขึ้นรถพร้อมนายทหารรักษาความปลอดภัยออกจากบ้านสี่เสาเทเวศร์ มุ่งหน้าศูนย์ปฏิบัติการกองทัพบก เพื่อเข้าสมทบกับนายทหารชั้นผู้ใหญ่หลายคนที่ถูกควบคุมตัวอยู่ก่อนแล้ว โดยกลุ่มคณะผู้ก่อการรัฐประหาร นำโดย พลเอก สัณห์ จิตรปฏิมา, พันเอก มนูญ รูปขจร, พันเอก ประจักษ์ สว่างจิตร และกลุ่มนายทหารหนุ่มจากโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า รุ่น 7 หรือกลุ่มยังเติร์ก
ทุกอย่างดูง่ายดาย เป็นไปตามแผนของคณะผู้ก่อการ
แต่หารู้ไม่ว่า นี่คือจุดพลิกผัน และเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ ของเหตุการณ์ทั้งหมดที่จะตามมา ซึ่งได้แปรสถานะของกลุ่มยังเติร์กจาก ‘ผู้ก่อการรัฐประหาร’ สู่ ‘กบฏเมษาฮาวาย’ ภายในเวลาอันรวดเร็ว
พลเอก เปรม สามารถหลบออกจากบ้านสี่เสาเทวศร์ มุ่งหน้าสู่กองทัพภาคที่ 2 ค่ายสุรนารี นครราชสีมา และตั้งกองบัญชาการต้านฝ่ายก่อการขึ้นที่นั่น พร้อมกราบบังคมทูลเชิญพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และพระบรมวงศานุวงศ์ เสด็จพระราชดำเนินไปประทับที่กองทัพภาคที่ 2 เพื่อความปลอดภัย
จากนั้น ด้วยความร่วมมือของนายทหารฝั่งรัฐบาล นำโดย พลตรี อาทิตย์ กำลังเอก ผนวกกับปฏิบัติการที่ได้ผลทั้งทางกำลังพล การสื่อสาร และทางจิตวิทยา ทำให้หน่วยเฉพาะกิจสุรนารีและกรมทหารราบที่ 21 รักษาพระองค์ เคลื่อนกำลังเข้ากรุงเทพฯ และทำการจับกุมตัวนายทหารฝั่งคณะผู้ก่อการได้ ชนิดที่เรียกว่าแทบไม่เกิดความสูญเสียใด ๆ กระทั่งรัฐประหารเมษาฮาวาย จบลงภายในเวลาไม่ถึงสามวัน
เหตุการณ์เหล่านี้มีที่มาที่ไป และข้อมูลที่ชัดเจนตรงกันจากหลายแหล่งข่าว (ซึ่งสืบค้นข้อมูลกันได้ไม่ยาก)
แต่สุดท้าย ไม่วายเกิดเรื่องปั้นแต่งผูกสร้างความลวงขึ้นอีกจนได้
ความเท็จ
มีเพจหนึ่งได้หยิบยกเรื่องกบฏเมษาฮาวาย มากล่าวอ้าง โดยยกเรื่องราวมาเพียงนิดหน่อย แล้วปั้นเสริมเติมแต่งด้วยอคติส่วนตัว เพื่อสร้างความเข้าใจผิดให้แก่สถาบันพระมหากษัตริย์
ซึ่งมีการสรุปโดยตั้งธงเอาไว้แล้วว่า
การที่พระมหากษัตริย์ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเซ็นรัฐประหาร นั้นไม่ใช่ความจริง เพราะในหลวงรัชกาลที่ 9 สามารถเลือกได้ และเลือกมาแล้ว ดังเช่นเหตุการณ์กบฏเมษาฮาวาย
การรัฐประหารครั้งนี้ต้องล่มไป เพราะในหลวงไม่ทรงเซ็นรัฐประหาร
ความจริง
- การรัฐประหารในช่วง 1 – 3 เมษายน พ.ศ.2524 (กบฏเมษาฮาวาย) เป็นการรัฐประหารที่ล้มเหลว เพราะคณะผู้ก่อการไม่สามารถ ‘ยึดอำนาจรัฐได้เด็ดขาด’ หรือ ‘ล้มเหลวตั้งแต่เริ่ม’ กระทั่งนายกรัฐมนตรีในสมัยนั้น คือ พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ และบุคคลสำคัญอื่น ๆ ในรัฐบาลยังสามารถหนีการจับกุมไปได้
- เมื่อคณะผู้ก่อการ (กลุ่มยังเติร์ก) ไม่สามารถยึดอำนาจรัฐได้อย่างเด็ดขาดในเวลาอันรวดเร็ว ส่งผลให้อำนาจบังคับบัญชาสั่งการมีปัญหา ไร้เอกภาพ จนกระทั่งบรรดาผู้ที่ถูกเรียกให้มารายงานตัวต่อคณะรัฐประหารเริ่มทยอยถอนตัวไปร่วมกับรัฐบาลที่กองทัพภาค 2 โคราช ส่งผลให้การรัฐประหารกลายเป็นการกบฏ
- ข้อนี้ชี้ชัดในแง่ที่ว่า ในหลวงรัชกาลที่ 9 จะ ‘เซ็นรัฐประหาร’ ได้อย่างไร ในเมื่อคณะรัฐประหารไม่เคยถวายเอกสารใด ๆ ให้ในหลวง และเป็นแค่ประกาศยึดอำนาจในนามของทหารกลุ่มหนึ่งเท่านั้น อีกทั้งทางรัฐบาลและหน่วยงานราชการที่ยังเหลือรอดอยู่ก็ยังสามารถปฏิบัติหน้าที่ของตนต่อไปได้ แม้ในช่วงสถานการณ์คับขัน แสดงว่ารัฐบาลยังมีเอกภาพ
- รัฐบาล พลเอก เปรม ได้รับการแต่งตั้งเป็นรัฐบาลอย่างถูกต้องจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว (ต่อจากรัฐบาล พลเอก เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์) ทั้งสถานการณ์ก่อนรัฐประหารก็ไม่ได้มีเหตุการณ์จลาจลรุนแรง การชุมนุม หรือวิกฤติอื่นใดที่จะสนับสนุนว่ารัฐประหารครั้งนี้เกิดความชอบธรรม อเมริกาเองในตอนนั้นก็ยังคงรับรองรัฐบาลพลเอกเปรมที่โคราช (อ้างอิงจากหนังสือ เสี้ยวหนึ่งของการทูตไทยร่วมสมัย)
จากข้อเท็จจริงข้างต้น สรุปได้ว่าในหลวงรัชกาลที่ 9 จึงทรงกระทำถูกต้องตามหลักแห่งพระมหากษัตริย์ตามรัฐธรรมนูญ (Constitutional Monarchy) แล้ว
เป็นที่ชัดเจนว่า ด้วยความมีเอกภาพ และปฏิบัติการที่รวดเร็วของฝ่ายรัฐบาล กอปรกับความผิดพลาดอย่างแทบไม่น่าเชื่อของฝ่ายคณะรัฐประหารเอง ที่นำไปสู่การพลิกเกม และเปลี่ยนสถานะพวกเขาจาก ‘ผู้ก่อการ’ สู่ ‘กบฏยังเติร์ก’ ในที่สุด
ดังนั้น การที่ในหลวงไม่ทรงเซ็นรัฐประหาร ทำให้เหตุการณ์เมษาฮาวายกลายเป็นกบฏ เป็นเรื่อง ‘ไม่จริง’
เพราะในหลวงรัชกาลที่ 9 ไม่เคยอยู่เบื้องหลังรัฐประหารครั้งใด ๆ
ที่มา :
เสี้ยวหนึ่งของการทูตไทยร่วมสมัย : อยากเป็นทูตก็ไม่ยาก / โดย อดีตทูต (วิ) สามัญ : ทัศนีย์ โกกิลานนท์, 2557 [2014] พิมพ์ครั้งที่ 1, 164 หน้า, ISBN:9786163616609; 616361660X