การเดินทางผ่านกาลเวลาของ ‘ธงชาติไทย’
วันที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2460 คือวันที่ “ธงไตรรงค์” ได้ถือกำเนิดขึ้นมาในรัชสมัยของ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 โดยสีแดงและสีขาวนั้นมาจากพื้นของธงช้างเผือก ซึ่งเคยเป็นธงชาติไทยแต่เดิม และในหลวงรัชกาลที่ 6 ทรงมีพระราชดำริให้เพิ่มสีน้ำเงินแก่เข้ามาอีกสีหนึ่ง ให้เป็นสามสี ตามลักษณะธงชาติของเหล่าประเทศที่เป็นสัมพันธมิตรกับกรุงสยามในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 จากนั้นจึงได้มีการประกาศใช้ “ธงไตรรงค์” ตามพระราชบัญญัติธง พระพุทธศักราช 2460
ต่อมาพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงพระราชนิพนธ์เรื่อง “เครื่องหมายแห่งไตรรงค์” ไว้ในนิตยสารดุสิตสมิต ฉบับพิเศษ เล่มที่ 1 พ.ศ. 2461 นิยามความหมายของธงไตรรงค์ไว้ว่า สีแดง หมายถึง เลือดอันยอมพลีให้แก่ชาติ สีขาว หมายถึง ความบริสุทธิ์แห่งพระรัตนตรัยและธรรมะอันเป็นหลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา และ สีน้ำเงิน หมายถึง สีส่วนพระองค์ขององค์พระมหากษัตริย์
ประวัติศาสตร์การใช้ธงเป็นสัญลักษณ์ของประเทศไทยนั้น มีที่มาตั้งแต่ครั้งสมัยอยุธยา ซึ่งธงชาติไทยได้เดินทางผ่านกาลเวลา แปรเปลี่ยนรูปแบบตามวัฒนธรรม และความหมายในเชิงสัญลักษณ์ต่าง ๆ จนกลายมาเป็น “ธงไตรรงค์” อันเป็นเครื่องหมายที่แสดงถึงความเป็นชาติในปัจจุบัน
ประวัติความเป็นมาของธงชาติไทย
นับย้อนไปในสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี ช่วงรัชสมัยของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ในเวลานั้น เรายังไม่มีธงชาติหรือสิ่งที่บ่งบอกถึงสัญลักษณ์ของความเป็นชาติแต่อย่างใด และด้วยความที่กรุงศรีอยุธยาได้มีการเจริญสัมพันธ์ทางการค้ากับประเทศต่าง ๆ มากมาย ในตอนนั้นเรือต่างชาติที่เข้ามาติดต่อค้าขายกับกรุงศรีอยุธยา ต้องการที่จะยิงสลุตตามธรรมเนียมของชาติตะวันตก แต่ทางกรุงศรีอยุธยายังไม่ได้มีธงที่ชักขึ้น เพื่อแสดงความเป็นสัญลักษณ์ของชาติ จึงได้ใช้ธงแดงเกลี้ยงชักขึ้นเพื่อแสดงสัญลักษณ์ความเป็นชาติกลาย ๆ และนับเป็นสีพื้นของธงชาติที่ใช้ในเวลาต่อมา
จวบจนถึงยุครัตนโกสินทร์ ในสมัยของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช พระองค์ทรงโปรดเกล้าฯ ให้นำรูปจักรสีขาวอันเป็นเครื่องหมายแห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ วางไว้กลางผ้าผืนสีแดงสำหรับชักขึ้นบนเรือกำปั่นหลวง ส่วนเรือของราษฎรนั้น ยังคงให้ใช้ธงแดงเกลี้ยงตามเดิม ซึ่งถือว่า “ธงวงจักร” เป็นธงชาติไทยแบบแรกนั่นเอง
และในช่วงรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ได้ปรากฏมีช้างเผือกอันอุดมด้วย “คชลักษณ์” มาสู่พระราชสมภารถึง 3 เชือกด้วยกัน ซึ่งตามประเพณีไทยถือว่าเป็นเกียรติยศอย่างยิ่ง พระองค์จึงทรงโปรดเกล้าฯ ให้ตรารูปช้างเผือกไว้ตรงกลางวงจักรสีขาวบนธงชาติไทย
ต่อมา ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงโปรดเกล้าให้ใช้ธงช้างเผือกปล่อย นั่นคือมีรูปช้างเปล่าสีขาววางอยู่บนผืนผ้าแดง มาเป็นธงชาติ โดยมีหลักฐานสำคัญจากนักเดินเรือทั่วโลกว่า มีการใช้รูปช้างเผือกที่ปราศจากวงจักรบนผ้าพื้นสีแดง เป็นธงชาติสยามสำหรับใช้ชักบนเรือของสามัญชนทั่วไปแล้ว
สืบเนื่องมาถึงรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงโปรดเกล้าฯ ให้เรือของราษฎรทั่วไป สามารถใช้ธงช้างเผือกปล่อย เป็นสัญลักษณ์ธงชาติสยาม เหมือนอย่างเรือหลวงได้
จวบจนถึงในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตรา “พระราชบัญญัติว่าด้วยแบบอย่างธงสยาม รัตนโกสินทร์ศก 110” ขึ้นเป็นพระราชบัญญัติธง ฉบับแรกของประเทศไทย เพื่อเตรียมการจัดทำผืนธงช้างเผือกต้อนรับเสด็จ ในคราวเสด็จประพาสยุโรปครั้งแรก โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสานสัมพันธไมตรีกับประเทศต่าง ๆ และร่วมกันแก้ไขปัญหาความมั่นคง ตลอดจนส่งเสริมความเป็นเอกราชของประเทศ ท่ามกลางยุคล่าอาณานิคม
หลังจากที่ในหลวงรัชกาลที่ 5 เสร็จสิ้นการประพาสยุโรป ก็ได้มีพระราชพิธีรับเสด็จพระราชดำเนินนิวัติพระนครอย่างยิ่งใหญ่ โดยมีการสร้างซุ้มและประดับธงช้างเผือกของกระทรวง ทบวง กรมต่าง ๆ จนทั่ว ตลอดแนวรับเสด็จอย่างวิจิตรตระการตาสมพระเกียรติ ซึ่งการเสด็จประพาสประเทศต่าง ๆ ในยุโรปครั้งนั้น ถือเป็นส่วนสำคัญในหน้าประวัติศาสตร์ของชาติไทย ที่ทำให้สยามประเทศสามารถคานอำนาจกับชาติต่าง ๆ ในยุโรป และดำรงความเป็นเอกราชไว้ได้
และในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงเล็งเห็นถึงปัญหาของการใช้ธงช้างเผือกที่ผ่านมา เนื่องจากรูปช้างเผือกที่ประชาชนทั่วไปจัดทำ หรือวาดลงบนธงชาติสยามนั้นมีความหลากหลาย ไม่สง่างาม ไม่สมเกียรติ จึงเห็นสมควรแก้ไข ให้มีการยกเลิกการใช้ธงช้างเผือกปล่อย และเปลี่ยนมาใช้ธงแดงขาวห้าริ้ว หรือชื่ออย่างเป็นทางการว่า “ธงค้าขาย” เป็นธงชาติสยามสำหรับให้ประชาชนได้ใช้ชัก พร้อมกับประกาศให้หน่วยงานราชการต่าง ๆ มีธงชาติสยามเป็นการเฉพาะ โดยกำหนดให้เป็น “ธงช้างเผือกทรงเครื่องยืนแท่น” ซึ่งธงชาติทั้งสองแบบ ถูกประกาศใช้ในฐานะธงชาติสยามวันเดียวกันคือ วันที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2459
จนกระทั่งสยามได้ประกาศเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่ 1 จึงเป็นเหตุให้ในหลวงรัชกาลที่ 6 ได้มีพระราชวินิจฉัยแก้ไขธงชาติใหม่อีกครั้ง โดยทรงเพิ่มสีน้ำเงินแก่ แทนที่สีแดงบริเวณแถบกลางของธงแดงขาวห้าริ้ว เพื่อให้เป็นสามสี ดั่งเช่นธงชาติของประเทศมหาอำนาจ ที่เป็นสัมพันธมิตรกับสยาม
และอีกประการหนึ่ง สีน้ำเงินยังเป็นสีอันเป็นสิริแก่พระชนมวาร นับว่าเป็นสีเครื่องหมายเฉพาะพระองค์ด้วย โดยได้พระราชทานนามธงชาติแบบใหม่นี้ว่า “ธงไตรรงค์” ซึ่งมีการประกาศอยู่ในมาตราที่ 3 แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขพระราชบัญญัติธง พุทธศักราช 2460 โดยนับเป็นส่วนหนึ่งของพระราชบัญญัติธง รัตนโกสิทร์ศก 129 ออกประกาศเมื่อวันที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2460
นานนับกว่า 200 ปี ที่ธงชาติไทยของเราได้ถือกำเนิดขึ้น เพื่อบ่งบอกถึงสัญลักษณ์ของความเป็นชาติไทย ที่ผ่านประวัติศาสตร์ของกาลเวลามาอย่างยาวนาน จนกลายมาเป็นธงชาติไทย ให้เราได้ภาคภูมิใจจนถึงทุกวันนี้
ตลอดช่วงเวลา ที่ประเทศของเราต้องเผชิญกับวิกฤตการณ์ต่าง ๆ มากมาย แต่เราก็สามารถฝ่าฟันมาได้ด้วยความร่วมมือร่วมใจ ความเสียสละ ความสามัคคีของคนในชาติ และความวิริยะอุตสาหะของพระมหากษัตริย์ไทยทุกพระองค์ ที่ได้ทรงรักษาชาติบ้านเมืองไว้ โดยถือเอาธงชาติไทย เป็นสัญลักษณ์สูงสุดของชาติ และเป็นสิ่งเตือนใจให้อนุชนรุ่นหลังได้รำลึกถึงอยู่เสมอ
ที่มา :
[1] ธงไตรรงค์ ธำรงไทย : สำนักงานเสริมสร้างเอกลักษณ์ของชาติ สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี
[2] พิพิธภัณฑ์ ธงชาติไทย
[3] ประวัติความเป็นมาของธงชาติไทย : สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน