การลงพระปรมาภิไธยของในหลวง ถูกต้องตามหลักการ The King-in-Parliament
ในปัจจุบันมักมีผู้กล่าวอ้างว่า การลงพระปรมาภิไธยและประกาศใช้กฎหมายในนามของพระมหากษัตริย์นั้น เป็นการกระทำโดยมิชอบ เป็นการละเมิดรัฐธรรมนูญของในหลวง และเป็นการใช้อำนาจแทรกแซงทางการเมือง
ซึ่งก่อนหน้านี้ ทีมงานฤๅ ได้เคยอธิบายเกี่ยวกับข้อเท็จจริงของการลงพระปรมาภิไธยเอาไว้ว่า ในสภาวะปกติ พระมหากษัตริย์ “ไม่มี” อำนาจตัดสินใจอะไรทางการเมืองได้ เช่น การตรากฎหมาย ที่พระมหากษัตริย์จะต้องทรงลงพระปรมาภิไธยนั้น ท่านก็ไม่ได้มีอำนาจตัดสินใจในประการใด ๆ พระองค์ “เลือกไม่ได้” ว่ากฎหมายนี้ควรต้องมีหรือไม่ ซึ่งหลักการนี้ปรากฏในรัฐธรรมนูญอยู่แล้ว
ดังนั้นการกล่าวหาข้างต้น จึงเป็นแค่คำพูดเลื่อนลอยที่เต็มไปด้วยอคติ และไม่สนใจข้อเท็จจริงที่ว่า การลงพระปรมาภิไธยของในหลวงนั้น อยู่ในหลักการ “พระมหากษัตริย์ในรัฐสภา” หรือ The King-in-Parliament ซึ่งเป็นหลักการเดียวกับการปกครองในระบอบพระมหากษัตริย์ตามรัฐธรรมนูญ (Constitutional Monarchy) ของประเทศอังกฤษ ที่รัฐสภาจะเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดที่แท้จริงของประเทศ
ประเทศไทย ถือว่าเป็นประเทศที่ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ซึ่งเป็นรูปแบบเดียวกับประเพณีการปกครองของประเทศอังกฤษ ที่ยึดหลัก “อำนาจสูงสุดอยู่ที่รัฐสภา” (Parliamentary Supremacy)
หลักการดังกล่าวถูกวางบนเงื่อนไขว่า อำนาจในการตราหรือออกกฎหมาย (กระบวนการนิติบัญญัติ) อำนาจในการลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐบาล รวมไปถึงอำนาจในการรับรองพระมหากษัตริย์พระองค์ใหม่ เป็นของรัฐสภา (Parliament) ซึ่งหมายถึงสภาผู้แทนราษฎร (House of Common) เป็นสำคัญ
ในกรณีของหลักการ “พระมหากษัตริย์ในรัฐสภา” หรือ The King-in-Parliament หมายความว่า เมื่อรัฐสภาได้ตราหรือออกกฎหมายใด ๆ ซึ่งเป็นกระบวนการนิติบัญญัติ ก็ย่อมต้องอ้างถึงพระนามของพระมหากษัตริย์ แม้ว่าพระมหากษัตริย์จะมิได้ทรงประทับอยู่ในรัฐสภาก็ตาม เพราะก่อนหน้าที่กฎหมายจะถูกประกาศใช้อย่างสมบูรณ์ ก็ต้องได้รับ “คำแนะนำ” (advise) จากพระมหากษัตริย์ (ในบางกรณี)
และท้ายที่สุด เมื่อพระมหากษัตริย์ทรง “ยินยอม/เห็นชอบ” (consent) ให้ตรากฎหมายดังกล่าว กฎหมายเหล่านี้ก็จะถูกลงพระปรมาภิไธยและประกาศใช้ในนามของพระองค์ แต่ทั้งนี้ ผู้มีบทบาทที่แท้จริงในกระบวนการนิติบัญญัติคือรัฐสภา มิใช่พระมหากษัตริย์
ซึ่งประเทศอังกฤษ ถือว่าเป็นประเทศแรกที่ใช้หลักการดังกล่าวนี้ มาตั้งแต่หลังช่วงการปฏิวัติอันรุ่งโรจน์ในปี ค.ศ. 1688 หรือช่วงศตวรรษที่ 17 – 18 เป็นต้นมา ซึ่งเป็นช่วงที่ถือว่าประเทศอังกฤษได้ปกครองในระบอบพระมหากษัตริย์ตามรัฐธรรมนูญ (Constitutional Monarchy) โดยสมบูรณ์ มีรัฐสภาเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดที่แท้จริงของประเทศ (Parliamentary Supremacy)
กรณีนี้หากเทียบกับประเทศไทยก็คือการปฏิวัติสยามในปี พ.ศ. 2475 ที่คณะปฏิวัติได้จำกัดอำนาจการบริหาร ตุลาการ และนิติบัญญัติของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 มาเป็นของรัฐบาลใหม่ในนามคณะราษฎร นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ประเทศไทยจึงได้เจริญรอยตามประเพณีการปกครองโดยยึดหลัก “อำนาจสูงสุดอยู่ที่รัฐสภา” (Parliamentary Supremacy) เช่นเดียวกับประเทศอังกฤษ ซึ่งแน่นอนว่าต้องนำหลัก “พระมหากษัตริย์ในรัฐสภา” (The King-in-Parliament) มาใช้ด้วยเช่นกัน
จะเห็นได้ว่า ในการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขนั้น การประกาศใช้กฎหมายใด ๆ ของรัฐสภา จะต้องได้รับการเห็นชอบ/ยินยอม โดยการลงพระปรมาภิไธยของในหลวง แม้ว่าจะทรงมิได้ประทับอยู่ ณ ที่ซึ่งกฎหมายดังกล่าวได้ถูกร่างหรือพิจารณาขึ้นเลยก็ตาม ซึ่งทั้งหมดนี้ก็เป็นไปตามหลัก “พระมหากษัตริย์ในรัฐสภา”
แต่สุดท้ายแล้ว อำนาจสูงสุดที่แท้จริงจะอยู่ที่รัฐสภา ไม่ว่าจะเป็นอำนาจในการลงมติคัดเลือก หรือมติไม่ไว้วางใจคณะบริหาร การตรากฎหมาย หรือกระทั่งการรับรองพระมหากษัตริย์พระองค์ใหม่
ดังนั้น ทุก ๆ กฎหมายที่เป็นไปตามหลัก “พระมหากษัตริย์ในรัฐสภา” (The King-in-Parliament) และการลงพระปรมาภิไธยของในหลวง ย่อมถูกต้องตามรูปแบบการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
และการกล่าวหาว่าพระมหากษัตริย์ทรงละเมิดรัฐธรรมนูญ หรือใช้อำนาจแทรกแซงทางการเมืองนั้น จึงเป็นเรื่องที่ฟังไม่ขึ้น เพราะการปกครองในระบอบพระมหากษัตริย์ตามรัฐธรรมนูญ (Constitutional Monarchy) อำนาจสูงสุดจะอยู่ที่รัฐสภา และกฎหมายทุก ๆ ฉบับก็ล้วนได้รับการเห็นชอบจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งเป็นตัวแทนของปวงชนชาวไทยในรัฐสภาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
อ้างอิง :
[1] Queen-in-Parliament
[2] British History, 8: Government in the 18th C.