การปราบ ‘กบฏผีบุญ’ ของคณะราษฎร ความจริงที่นักวิชาการบางคนพูดไม่หมด และบิดเบือนเพื่อโจมตี รัชกาลที่ 5

เมื่อพูดถึงกบฏผีบุญ (ผู้มีบุญ) ในภาคอีสาน เรามักนึกถึงเหตุการณ์ในสมัยรัชกาลที่ 5 ซึ่งเป็นช่วงที่สยามเพิ่งปกครองในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์อย่างรัฐสมัยใหม่ ซึ่ง ฤๅ เคยนำเสนอไปแล้วว่า สาเหตุสำคัญของการเกิดกบฏผีบุญมาจากบรรดาพวกเจ้านาย ขุนนางท้องถิ่นอีสาน ร่วมกับพวกกลุ่มชาวลาวและข่าจากนอกพื้นที่ (ฝั่งลาวใต้การปกครองของฝรั่งเศส) ที่ข้ามโขงเข้ามาก่อความวุ่นวายในเขตแดนของสยาม

และในปัจจุบัน เหตุการณ์ปราบกบฏผีบุญในช่วงรัชกาลที่ 5 ได้ถูกนำมาบิดเบือนซ้ำๆ จากฝั่งที่เรียกตนเองว่า “ฝ่ายประชาธิปไตย” โดยคนเหล่านี้ทึกทักเอาว่า การปราบปรามกบฏผีบุญอย่างเด็ดขาดและรุนแรงโดยรัฐบาลสยามเวลานั้น เป็นการกดปราบคนท้องถิ่นไม่ให้มีสิทธิมีเสียง ทั้งยังเป็นการยึดครองภาคอีสานอย่างสมบูรณ์จากรัฐบาลกรุงเทพฯ ด้วย แต่หารู้ไม่ว่าแท้จริงแล้ว “กบฏผีบุญ” ยังเกิดขึ้นสืบเนื่องต่อมา จนถึงยุคหลังการปฏิวัติ พ.ศ. 2475 และถูกรัฐบาลคณะราษฎรปราบปรามอย่างเด็ดขาดเช่นกัน

นี่คือสิ่งที่บรรดานักเคลื่อนไหว (ภายใต้การสนับสนุนของเอ็นจีโอต่างชาติ) พูดไม่หมด!

3-4 ปีหลังจากคณะราษฎรปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครอง โดยยึดอำนาจบริหารราชการแผ่นดินมาจากรัฐบาลของในหลวงรัชกาลที่ 7 รัฐบาลคณะราษฎรก็ต้องปวดเศียรเวียนเกล้ากับบรรดาปัญญาชนหรือผู้นำท้องถิ่นต่างๆ ที่เริ่มสั่นคลอน “ระบอบรัฐธรรมนูญ” ของพวกเขาทั่วประเทศ เช่น ทางเหนือก็เกิดกรณีปราบปรามครูบาศรีวิชัย (2478) ทางใต้เกิดกรณีกบฏจีนปล้นเมืองเบตง (2476) และทางอีสานก็เกิดกบฏผีบุญหมอลำน้อย ชาดา (2479)

เหตุการณ์เหล่านี้แสดงให้เห็นว่า มีการต่อต้านรัฐบาลคณะราษฎรที่ใช้อำนาจผ่าน “กรุงเทพฯ” อยู่ตลอดเวลา และเป็นสิ่งที่ยืนยันได้ว่า ความเชื่อที่ว่าการเปลี่ยนแปลงการปกครองของคณะราษฎรเป็นไปอย่างราบรื่น ไร้การต่อต้านจากประชาชน ยกเว้นกลุ่มเจ้านายและรอยัลลิสต์ ตามที่นักวิชาการบางพวกกำลังพยายามโหมกระแส ล้วนเป็นเรื่องที่ “ไม่จริง”

กบฏผีบุญในสมัยคณะราษฎรเกิดขึ้นหลายครั้ง และหนึ่งในครั้งสำคัญคือกรณี “หมอลำน้อย ชาดา” ซึ่งเกิดที่บ้านเชียงเหียน ปัจจุบันอยู่ในตำบลเขวา อำเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม โดยการก่อกบฏเริ่มจาก “หมอลำคำสา สุมังกะเศษ” ได้อ้างตนว่าเป็นผู้วิเศษ (ผู้มีบุญ) สามารถทำนายชะตาชีวิตผู้คนต่างๆ ได้ โดยผ่านกลอนหมอลำ และด้วยเหตุที่หมอลำผู้นี้มีร่างกายขนาดเล็ก ชาวบ้านจึงเรียกว่า “หมอลำน้อย” และสร้อยห้อยหลังว่า “ชาดา” มาจากการที่หมอลำน้อยอ้างว่าตนคือ “พระชาดา” กลับชาติมาเกิด ทำให้ชาวบ้านเกิดความศรัทธาและหลงเชื่อกันมาก (โดยก่อนนั้นก็เคยมีผู้อ้างว่าเป็นพระชาดา และน่าจะเสียชีวิตในช่วงปราบกบฏผีบุญสมัยรัชกาลที่ 5 ในช่วงปี พ.ศ. 2444-2445)

จุดเด่นของกบฏผีบุญน้อยชาดาอีกประการก็คือ การป่าวประกาศให้ชาวบ้านนุ่งขาวห่มขาว กระทั่งสวมใส่รองเท้าขาว (เกือกขาว) เพื่อความบริสุทธิ์ ทำให้กบฏนี้ถูกเรียกอีกชื่อว่า “กบฏหมอลำเกือกขาว” และทำให้รองเท้าสีขาวในสมัยนั้นซึ่งเป็นรองเท้าคัทชูหนัง เป็นที่นิยมอย่างมาก จนมีการสั่งซื้อจากกรุงเทพฯ เป็นการใหญ่ ทำให้พ่อค้ารองเท้าขาวร่ำรวยกันมาก

ส่วนคำสอนของหมอลำน้อย เมื่อลองเทียบเคียงดูแล้ว แทบไม่มีความแตกต่างจากที่กบฏผีบุญในสมัยรัชกาลที่ 5 เคยหลอกลวงประชาชนเลย คือสั่งสอนกันว่า ต่อไปนี้บ้านเมืองจะเริ่มพินาศลง จะเกิดไฟไหม้ แผ่นดินไหว คนจำนวนมากต้องล้มตาย เว้นเสียแต่ผู้ที่เชื่อถือธรรมและคำสอนของพวกหมอลำ แล้วจะเกิดศาสนาใหม่ คือ “ศาสนาพระศรีอาริยเมตไตรย” โดยสังคมจะเกิดความเท่าเทียม และเกิดต้นกัลปพฤกษ์ขึ้น หากใครประสงค์สิ่งใดก็ให้ไปนึกเอาขอเอา ก็จะได้ผลดั่งสมประสงค์

หมอลำน้อยยังอ้างด้วยว่า ต่อไปภาษีส่วยจะลดลงเหลือ 2 บาท และเมืองเวียงจันทร์ (เมืองหลวงของลาว) จะกลับมารุ่งเรืองอีกครั้ง ซึ่งคำสอนที่มีทัศนคติปลุกระดมให้เกิดความสับสนวุ่นวาย การโฆษณาว่าภาษีจะลดลง (ภาษีเป็นปัจจัยสำคัญของการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐสมัยใหม่) และการอ้างถึงความรุ่งเรืองของเวียงจันทร์ในอนาคต ทำให้รัฐบาลคณะราษฎรตัดสินใจเด็ดขาดว่าจะปล่อยกลุ่มผีบุญเหล่านี้ไว้นานไม่ได้ เนื่องจากคณะราษฎรเองน่าจะเรียนรู้บทเรียนสำคัญ จากการปราบกบฏผีบุญในสมัยรัชกาลที่ 5 มาแล้ว ในทำนองที่ว่าหากปล่อยให้เนิ่นนานเกินไป เหตุการณ์อาจจะลุกลามใหญ่โตขึ้นไปเรื่อยๆ เช่น มีประชาชนหลงเชื่อจำนวนมาก หรืออาจมีการเริ่มสั่งสมอาวุธเกิดขึ้น จนยากที่จะปราบปรามให้สงบราบคาบในเวลาอันสั้น

ในที่สุดรัฐบาลคณะราษฎรได้ตัดสินใจจับหมอลำน้อย ชาดา ก่อนที่เหตุการณ์จะลุกลามใหญ่โต และสั่งจำคุกหมอลำน้อยเป็นเวลา 4 ปี ทำให้พรรคพวกของหมอลำน้อยไม่พอใจมาก และยิ่งต่อต้านรัฐบาลด้วยการออกสั่งสอนธรรมโดยบรรดาพรรคพวกหมอลำน้อยที่เหลืออยู่ เช่น นายชาลี มหาวงศ์ และ นายบึ่ง ข่ายเพชร เป็นต้น

และที่น่าสนใจก็คือ ชาวบ้านก็ยังคงให้ความสนใจกับขบวนการผีบุญนี้อยู่ โดยมีประชาชนเข้ามาฟังหมอลำกันอย่างเนื่องแน่นในเวลากลางคืน ทำให้บรรดาหมอลำที่เหลือเกิดความฮึกเหิม จนประกาศว่าจะทำการบุกชิงตัวหมอลำน้อยจากที่คุมขังให้ได้

แต่ความฮึกเหิมดังกล่าวกลับเข้าทางคณะราษฎร โดยรัฐบาลในขณะนั้นได้ตัดสินใจจับหมอลำที่เหลือ และสั่งลงโทษด้วยการจำคุกเป็นเวลา 6 เดือน นำไปสู่การปิดฉากกรณีกบฏผู้มีบุญหมอลำน้อยชาดา ในปี พ.ศ. 2479 ซึ่งเป็นยุคที่พระยาพหลพลพยุหเสนา เป็นนายกรัฐมนตรี

น่าสนใจว่า ทั้งๆ ที่ ทั้งคณะราษฎรและหมอลำน้อย ชาดา ต่างก็อ้างถึง “พระศรีอาริยเมตไตรย” (คณะราษฎรนั้นอ้างถึงยุคพระศรีฯ ในประกาศคณะราษฎร) แต่จินตภาพของทั้ง 2 ฝั่งกลับต่างกัน คณะราษฎรมอง “พระศรีอาริยเมตไตรย” ในลักษณะของสังคมทางการเมือง ซึ่งเป็นอุดมการณ์อย่างหนึ่ง ที่สังคมมีแต่จะเจริญก้าวหน้า (โดยเฉพาะในทางวัตถุ) แต่บรรดาหมอลำรวมถึงผีบุญในภาคอีสานต่างมอง “พระศรีอาริยเมตไตรย” ในลักษณะของโลกที่อิงกับศาสนา ที่ยังเชื่อเรื่อง “คติปัญจอันตรธาน” แบบพุทธศาสนาดั้งเดิม ที่มองว่าโลกนี้กำลังดับสูญไป จึงต้องเร่งสั่งสมบุญเอาไว้ให้มาก การประกาศกลอนหมอลำของพวกผีบุญจึงมีวัตถุประสงค์ไปในทางอบรมผู้คนให้เชื่อในคติดังกล่าว

ซึ่งเป็นที่แน่นอนว่า ทั้งสองแนวคิดนี้ ไม่สามารถดำรงอยู่ร่วมกันได้

ข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์เหล่านี้ ล้วนยืนยันได้ว่า เหตุการณ์กบฏผีบุญ เป็นการใช้คติความเชื่อของคนบางกลุ่ม (ซึ่งส่วนใหญ่ไม่ใช่คนสยามด้วยซ้ำ) หลอกลวงและปลุกระดมชาวบ้านให้ลุกขึ้นต่อต้านรัฐบาล สร้างความวุ่นวายให้ประเทศ ทั้งในสมัยรัชกาลที่ 5 และลากยาวมาจนถึงยุคคณะราษฎร ทำให้รัฐบาลทุกยุคทุกสมัยต่างจำเป็นต้องใช้กำลังเข้าปราบปรามอย่างเด็ดขาดเพื่อความสงบเรียบร้อย

ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่นักวิชาการบางคน “พูดไม่หมด” และพยายามบิดเบือนเพื่อลดทอนความชอบธรรมของสถาบันพระมหากษัตริย์ลง

อ้างอิง :

[1] สายสกุล เดชาบุตร. กบฏไพร่หรือผีบุญ : ประวัติศาสตร์การต่อสู้ของราษฎรกับอำนาจรัฐเหนือแผ่นดินสยาม. (กรุงเทพ : สำนักพิมพ์ยิบซี) 2555.
[2] อรรถจักร สัตยานุรักษ์. การเปลี่ยนแปลงโลกทัศน์ของชนชั้นผู้นำไทยตั้งแต่รัชกาลที่ 4 – 2475. (กรุงเทพ : สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย) 2538.
[3] ย้อนอดีต ‘คณะราษฎร’ กับกรณีปราบปรามกระบวนการครูบาศรีวิชัย หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475

TOP
y

Emet nisl suscipit adipiscing bibendum. Amet cursus sit amet dictum. Vel risus commodo viverra maecenas.

r

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    คุกกี้ที่มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้งานเว็บไซต์ได้อย่างเป็นปกติ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณ เพื่อให้เราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมและความสนใจของคุณ

บันทึกการตั้งค่า